Social Icons

facebookgoogle pluslinkedinrss feedemail

รีวิวน้ำหอม Dior – J’adore L’Or ESSENCE DE PARFUM

 
 

Dior – J’adore L’Or ESSENCE DE PARFUM
 
  โดยส่วนตัวเบิร์ดขอยก J’adore L’Or ให้ขึ้นแท่นเป็นน้ำหอมตัว Top สุดของไลน์ J’adore เลยละกันเนาะ เหตุผลคือ

1. เจ้าน้ำหอมรุ่นนี้ถูกรังสรร
ค์ออกมาเพื่อยัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของไลน์สกินแคร์สุดหรูที่มีราคาแพงหูฉีกอย่าง L’Or de Vie สีทองอร่าม ซึ่งเป็นไลน์สกินแคร์ Top สุดของ Dior เช่นกัน

2. รูปทรงขวดที่ดูหรูหรา และ packaging ที่งดงามเป็นพิเศษเหนือกว่า
รุ่นอื่นๆ

3. ส่วนผสมที่ล้ำค่า

4. เบสความเข้มข้นของน้ำหอมที่
สูงที่สุดในไลน์ และ

5. ราคาต่อหน่วยที่แพงลิบ

ด้วยเหตุประการฉะนี้ เอามงไปเลย ตำแหน่งน้ำหอมตัว Top ของไลน์

.
J’adore L’Or เป็นน้ำหอมแนว Oriental – Floral โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมหวานและเย้ายวนของดอกไม้ที่ถูกเบลนเข้า กับวานิลา ให้ความรู้สึกอบอุ่น เย้ายวน น่าเข้าหาชวนคลุกวงใน. flanker รุ่นนี้มาในเบสความเข้มข้น Essence de Parfum ซึ่งจัดว่าเป็นรุ่นที่มีเบสความเข้มข้นสูงที่สุดในกลุ่ม ถ้าเปรียบเทียบ J’adore L’absolu คือ Eau de Parfum Intense, J’adore L’Or ก็คงจะเปรียบได้กับ Pure Parfum ที่มีความเข้มข้นมากที่สุดนั่นเอง
.
โน้ตอันเป็นหัวใจสำคัญของ J’adore L’Or ประกอบด้วย 3 อย่างหลักๆ ส่วนผสมอย่างแรกคือ Rose de Mai Absolute หรือกุหลาบ May Rose เป็นกุหลาบพันธุ์เดียวกับที่ใช้ปรุง CHANEL No5 ดอกกุหลาบพันธุ์นี้จัดว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่หาได้ยาก เนื่องจากว่าใน 1 ปีมันจะเบ่งบานสะพรั่ง พร้อมให้เก็บเกี่ยวเฉพาะเดือนพฤษภาคมเท่านั้น
.
ส่วนผสมถัดไปคือ Jasmine de Grasse Absolute หรือดอกมะลิจากเมือง Grasse, แคว้น Provance, ประเทศฝรั่งเศส. ดอกมะลิจากเมืองนี้นับว่าเป็นส่วนผสมอีกอย่างหนึ่งที่หายากมาก เนื่องจากมีปริมาณการปลูกที่น้อยนิด (ต่างจากลาเวนเดอร์ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายจนเป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองโพรวองซ์) ซึ่งทุกๆวันหยุดแรกของเดือนสิงหาคมในแต่ละปี ที่เมืองแห่งนี้จะจัดเทศกาล “Jasmine Festival in Grasse” เพื่อเฉลิมฉลองให้กับฤดูกาลเก็บเกี่ยวดอกมะลิสุดหายากนี้ถึง 3 วันเต็ม เรื่องราวของเทศกาลนี้สามารถหาอ่านได้ตามอินเตอร์เน็ต ขอไม่พูดถึงรายละเอียดเพราะ มันยาว เกรงว่าจะออกนอกทะเลไปมากกว่านี้
.
ส่วนผสมสุดท้ายคือตัวประกอบที่เป็นหัวใจสำคัญของ J’adore L’Or นั่นคือ วานิลา. วานิลาที่ใช้ปรุงเป็นส่วนผสมก็ไม่ใช่วานิลาธรรมดาทั่วๆไป เพราะนี่คือ Tahitian Vanilla หรือวานิลาจาก French Polynesia นั่นเอง กลิ่นต่างจากวานิลาธรรมดายังไงอันนี้ก็ไม่ทราบ เพราะส่วนตัวแยกกลิ่นไม่ออกนะ ดมดูก็ได้กลิ่นวานิลาเหมือนเดิม
.
ช่วง Top Notes ให้กลิ่นหรูหรามากๆ ตามข้อมูลแจ้งว่าเป็นช่วงของดอกกุหลาบ Rose de Mai แต่โดยส่วนตัวเบิร์ดจับกลิ่นมะลิกับวานิลาได้เป็นอย่างแรก มาแบบหวานแน่น จัดเต็ม และเย้ายวนเกิดห้ามใจ ส่วนกุหลาบนั้นดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก เพราะจุดสำคัญจริงๆเขาโฟกัสไปที่ความหวานเฟมินีนจากดอกมะลิกับวานิลาซะมากกว่า
.
ตั้งแต่ช่วง Middle Notes ไล่ยาวไปจนถึงช่วง Base มีตัวเด่นคือดอกมะลิ Jasmine de Grasse ให้กลิ่น White Floral หรูหราและมีระดับเช่นเคย ทำหน้าที่โดดเด่นควบคู่ไปกับ Tahitian Vanilla ที่มอบความหวานหยดย้อย หนักแน่นและอบอุ่นสไตล์ Oriental
.
ความทนไม่ต้องพูดถึง ทนแบบสุดยอดจริงๆ และกระจายตัวได้ดีในระดับเทพมากๆอีกด้วย แม้ปริมาณใหญ่สุดจะแค่ 40 ml แต่เชื่อเถอะ ปริมาณที่ใช้ต่อ 1 ครั้งมันน้อยจริงๆ เพียง 2 สเปรย์ก็ให้กลิ่นฟุ้งในระดับรอบตัวได้สบายๆ แต่มีข้อแม้นิดนึงว่า ควรใส่ออกงานกลางคืนเท่านั้นนะจ๊ะ ที่อากาศเย็นๆเท่านั้นที่คนรอบข้างจะสามารถรับได้ ยิ่งสวมชุดราตรีสีทองยิ่งเป็นอะไรที่เข้ากันเป็นพิเศษ
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Christian-Dior/J-Adore-L-Or-10371.html

ไม่มีความคิดเห็น:

B&C Perfumes Academy