Credit : ขอบพระคุณที่มา คุณแสงแข
ท่านผู้อ่านเคยสังเกตไหมว่า เวลาได้กลิ่นอะไรสักอย่าง
คนเราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นนั้นอย่างฉับพลันทันที
ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ แตกต่างออกไปตาม ‘จมูก’ หรือรสนิยมของแต่ละคน
กลิ่นเดียวกันอาจทำให้สมองของคนหนึ่งหลั่งสารเอนโดรฟีน
ที่ทำให้อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน คลายความเครียดลงได้ทันตา
หรืออาจทำให้อีกคนคลื่นไส้จนทนไม่ได้ ทั้งที่คนอื่นว่าหอม
แทนที่จะทำให้คลายเครียด กลับยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีกหลายเท่า
ผู้เขียนเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้เมื่อประพรมน้ำหอมกลิ่นโปรดไปในที่
สาธารณะซึ่งบังเอิญมีคุณผู้ชายอยู่หลายคน ไม่ทันไรก็จะมีคนทำจมูกฟุดฟิด
เริ่มจาม หรือหันมามองเราด้วยสายตาแปลกๆ
ทั้งที่เราก็มั่นใจว่าไม่ได้ใส่น้ำหอมในปริมาณมากแต่อย่างใดเลย
เพราะตั้งใจจะให้ตัวเองได้กลิ่นอยู่คนเดียว
แต่หลายครั้งก็เกิดปฏิกิริยาทำนองเดียวกัน ผู้เขียนเลยสรุปเอาเองว่า
คุณผู้ชายส่วนใหญ่นั้นไวต่อกลิ่นที่แปลกปลอมแม้เพียงนิดเดียว
โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้นั้นจะมีปฏิกิริยามากเป็นพิเศษ
สันนิษฐานว่าความไม่คุ้นชินทำให้รู้สึกว่ากลิ่นฉุนหรือหวานเอียนเกินไป
ผู้เขียนจึงเลิกใส่น้ำหอมไปในที่สาธารณะ
แต่จะใส่เวลาอยู่บ้านหรือก่อนเข้านอน จะได้มีเวลา enjoy
กับกลิ่นได้เต็มที่อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะโมเลกุลของกลิ่นที่ผ่านเข้าจมูกไปนั้น
จะถูกส่งตรงไปยังสมองส่วน limbic
ซึ่งควบคุมอารมณ์ความรู้สึกและความทรงจำต่างๆ โดยทันที
ปกติแล้วมนุษย์เราจะใช้ประสาทสัมผัสด้านการมองเห็นและการได้ยินเพื่อซึมซับ
ข้อมูลจากสภาพแวดล้อมมากที่สุด
ทว่าฆานประสาทหรือประสาทรับกลิ่นนั้นถือว่าเป็นประสาทสัมผัสที่มีความสลับ
ซับซ้อน
มีอานุภาพในการกระตุ้นเตือนความทรงจำในอดีตและมีผลต่อสภาพจิตใจคนเรามากที่
สุด
ผู้เขียนจำได้ว่า กลิ่นน้ำหอมของคุณย่า คุณป้า
ที่ผู้เขียนได้ใกล้ชิดในวัยเยาว์ ทำให้เกิดความอบอุ่นสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
แม้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และได้กลิ่นนั้นจากที่อื่น
ก็มักจะหวนนึกถึงภาพความทรงจำสวยงามในวัยเด็กอยู่ร่ำไป
ขณะที่บางกลิ่นกลับกระตุ้นให้ระลึกถึงช่วงเวลาไม่ดี เช่น กลิ่นยาบางชนิด
กลิ่นโรงพยาบาล กลิ่นอับของห้องในบ้านหลังเก่า
หรือกระทั่งกลิ่นน้ำหอมที่เคยใช้ในช่วงเวลาสับสนหรือทุกข์ใจ
เมื่อได้กลิ่นเหล่านี้เข้าอีกครั้ง ภาพความทรงจำเก่าๆ
ดูจะหวนกลับมาอย่างชัดเจน
นี่คือสาเหตุว่าทำไมกลิ่นจึงมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างมากมาย
และคนเราก็รู้จักเลือกใช้กลิ่นหอมที่หลากหลายให้เกิดผลต่อร่างกายหรือจิตใจ
ต่างกันไปตามความต้องการ
ศิลปะการทำเครื่องหอมนั้นถือกำเนิดมาแต่โบราณ
ประวัติศาสตร์ตะวันตกบันทึกไว้ว่ามนุษย์นิยมใช้เครื่องหอมมาตั้งแต่สมัย
อียิปต์ สมัยนั้นยังไม่มีการทำน้ำหอม แต่มักใช้ดอกไม้ สมุนไพร
และเครื่องเทศต่างๆ ในการบูชาเทพเจ้า ภายหลังจึงเริ่มคิดค้นวิธีทำน้ำมันหอม
ขี้ผึ้ง ธูปหอมหรือกำยาน
สันนิษฐานว่าการทำเครื่องหอมนั้นแพร่หลายในโลกตะวันออกมาก่อนแล้ว
แต่ฝรั่งยุโรปเพิ่งมารู้จักการทำน้ำหอมเอาในยุค Renaissance
เพราะพวกที่ไปรบในสงครามครูเสดนำวัตถุดิบและน้ำหอมจากเอเชียเข้ามา
พร้อมกับที่นักเล่นแร่แปรธาตุในยุโรปสามารถคิดค้นกรรมวิธีผลิตน้ำหอมได้เป็น
ครั้งแรก
นับจากนั้น การผลิตน้ำหอมก็มีวิวัฒนาการเรื่อยมา
น้ำหอมแต่ละยุคสมัยจะมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สะท้อนอารมณ์หรือความรู้สึกร่วม
กันของผู้คน
อันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือเหตุการณ์สำคัญของแต่ละยุค
จนไม่แปลกที่จะกล่าวว่า กลิ่นหอมๆ
นั้นถือเป็นส่วนสำคัญของอารยธรรมมนุษย์เลยทีเดียว
ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศสนั้นพระราชวังแวร์ซายเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและความ
งามของยุโรป ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของเครื่องหอมและเครื่องสำอาง
เล่าลือกันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะทรงอาบน้ำเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในรอบ
4 ปี
จนกลายเป็นแฟชั่นของชนชั้นสูงฝรั่งเศสสมัยนั้นที่ไม่นิยมอาบน้ำและหันมาใช้
เครื่องหอมประพรมร่างกายกันอย่างฟุ่มเฟือย นัยว่าเพื่อให้มีกลิ่นกายเย้ายวน
กระตุ้นอารมณ์ทางเพศนั่นเอง
แฟชั่นประหยัดน้ำนี้ยังฮิตต่อมาถึงสมัยจักรพรรดินโปเลียน
ผู้เคยตรัสประโยคเด็ดในสาสน์ที่ส่งถึงพระนางโจเซฟีน ผู้เป็นมเหสีว่า “Je
reviens en trois jours, ne te laves pas. เราจะกลับมาภายใน 3
วัน…อย่าอาบน้ำล่ะ”
กลิ่นกายของมเหสีจักรพรรดิฝรั่งเศสนั้นจะเย้ายวนหรือฉุนแรงขนาดไหน
ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูเองก็แล้วกัน
หลังยุคปฏิวัติฝรั่งเศส ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
อุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มเข้าสู่ศักราชใหม่
มีการเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นชนชั้นกลาง
สินค้าฟุ่มเฟือยหรูหราไม่ถูกจำกัดในหมู่ชนชั้นสูงอีกต่อไป กลิ่นแปลกๆ ใหม่ๆ
ถูกนำมาใช้ เช่น กลิ่นสังเคราะห์ หรือ aldehyde
ซึ่งเมื่อนำไปผสมกับกลิ่นดอกไม้แท้ๆ
จะออกมาเป็นกลิ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว น้ำหอมกลิ่นแรกของโลกที่ใช้
aldehyde เป็นส่วนผสม และโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ก็คือ Chanel N.5
นั่นเอง
มีผู้เปรียบเทียบว่า
หากกลิ่นหอมที่สกัดจากดอกไม้แท้เป็นสวนดอกไม้ตามธรรมชาติ
กลิ่นดอกไม้เจือกลิ่น aldehyde
ก็คงเป็นภาพวาดสวนดอกไม้จากจินตนาการของศิลปินแนว Impressionism
ท่านผู้อ่านลองนึกถึงภาพจากปลายพู่กันของ Paul Gauguin หรือ Claude Monet
เส้นสายที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระและสดใหม่ หรือสีสันกระจ่างสดใสดูเหนือจริง
มิใช่ภาพเหมือนหรือเลียนแบบธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมา
แต่เป็นภาพที่กลั่นกรองจากความประทับใจของผู้วาด
ซึ่งได้ใช้สายตาบันทึกภาพความงามของสรรพสิ่งในธรรมชาติ แล้ว “ตีความ”
ออกมาในสไตล์ของตนเอง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเฟื่องฟู
พร้อมกับความนิยมแฟชั่นชั้นสูง (Haute Couture) สาวๆ
สมัยนั้นจึงหันมาใช้น้ำหอมหรูของดีไซเนอร์ดังที่ออกแบบเสื้อผ้าให้ซุเปอร์
สตาร์ฮอลลีวู้ด เมื่อถึงยุคสงครามเย็น วัฒนธรรมอเมริกันแพร่หลายไปทั่วโลก
แฟชั่นกางกางยีนส์และดนตรีร็อคแอนด์โรลเป็นที่นิยมสุดๆ
น้ำหอมจึงไม่ใช่สินค้าที่จำกัดไว้ให้ลูกค้าระดับบนอีกต่อไป
แต่คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ น้ำหอมชายกลิ่นแรกก็ถือกำเนิดขึ้นในเวลานี้
นับจากนั้น กลิ่นหอมก็มีวิวัฒนาการเรื่อยมา ในยุคฮิปปี้-บุปผาชน
น้ำหอมถูกปรุงแต่งให้มีกลิ่นสดชื่น สะท้อนอิสรภาพ
ความเยาว์วัยและการกบฏต่ออำนาจ เมื่อถึงยุคของพวกยัปปี้และ
Materialismในทศวรรษ 1980 เกิดแฟชั่นเสื้อไหล่ตั้ง รัดเอวคอดกิ่ว สาวๆ
แต่งหน้าเข้มจัด ทรงผมพองฟู กลิ่นน้ำหอมเข้มข้นเย้ายวนของทั้งชายและหญิง
สะท้อนความแข็งแกร่ง การบูชาเงิน และอำนาจ
กระทั่งเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม
หลังผ่านสงครามและภัยพิบัติต่างๆ ผู้คนเริ่มปฏิเสธลัทธิบริโภคนิยม
หันมาใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ความสดชื่นและความสงบจึงกลายเป็น theme
หลักของน้ำหอมยุคนี้ กลิ่นต่างๆ ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เช่น ป่าเขา
ทะเล สวนดอกไม้ หรือกลิ่นที่ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำวัยเยาว์ อย่างกลิ่นขนม
หรือผลไม้ ผู้เขียนจำได้ว่า
เคยได้กลิ่นเหล่านี้ตามเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้ามากจนเอียน
ต้องหันกลับมาหากลิ่นดอกไม้ไทยๆ หรือกลิ่นคลาสสิกต่างๆ เพราะไม่ ‘กรีดร้อง’
มากจนเกินไปว่า “ฉันเป็นสาวรุ่นใหม่นะ”
การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในยุค World Wide Web
ทำให้ผู้คนต่างสังคมวัฒนธรรมสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ง่ายดาย
น้ำหอมฝรั่งจำนวนมากได้แรงบันดาลใจจากศิลปวัฒนธรรมตะวันออกไกล
บางบริษัทผลิตน้ำหอมแบบ unisex
เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่เส้นแบ่งทางเพศจางลง
ผู้หญิงบางคนชอบกลิ่นสะอาดสดชื่นของน้ำหอมชาย
ขณะที่ผู้ชายเริ่มกล้าเผยด้านอ่อนไหวของตนเอง หนุ่มๆ
บางคนยอมรับว่าชอบใช้น้ำหอมกลิ่นหวานๆ แบบผู้หญิง
คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความเป็น ‘ปัจเจก’ ที่มีสไตล์เฉพาะตัว
ความพยายามที่จะ ‘แตกต่าง’ อยู่เสมอ ทำให้ตลาดน้ำหอมระดับ niche หรือ
exclusive เติบโตอย่างรวดเร็ว มีแบรนด์ใหม่ๆ
ชื่อแปลกแต่เก๋ไก๋ออกสู่ตลาดมากจนจำแทบไม่ไหว
สะท้อนให้เห็นว่าคนรักน้ำหอมพร้อมจะจ่ายเงินก้อนโต
เพื่อครอบครองกลิ่นที่พิเศษ ไม่ซ้ำใคร
ยิ่งชื่อจำยากเท่าไหร่ก็ยิ่งดูโดดเด่นน่าสนใจ
อีกทั้งผลิตจากส่วนผสมคุณภาพสูงที่คัดสรรมาอย่างดี
จึงแตกต่างอย่างชัดเจนจากน้ำหอมที่มีขายทั่วไปในห้างสรรพสินค้า
กระแส Retro ที่แพร่หลายในปัจจุบันยังทำให้น้ำหอมรุ่น vintage
ที่ผลิตมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด
หรือกลิ่นที่เลิกผลิตไปแล้วเป็นที่นิยมสุดๆ
ยิ่งหายากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น
บริษัทฝรั่งหลายแห่งหันมาเอาดีในธุรกิจ “ตามหาน้ำหอมที่หาย”
เพื่อเอาใจคนจำนวนมากซึ่งโหยหากลิ่นที่เคยใช้ในวัยเยาว์และไม่สามารถซื้อหา
ได้ตามท้องตลาดอีกต่อไป สะท้อนว่ากลิ่นหอมๆ
นั้นจับจองที่นั่งพิเศษในใจใครหลายคน เพราะเชื่อมโยงกับความทรงจำดีๆ
ในชีวิตที่อยากเรียกกลับคืน
*ผู้ที่ต้องการนำบางส่วนของบทความไปเผยแพร่ต่อในเว็บไซต์หรือสิ่งพิมพ์ชนิดใดก็ตาม กรุณาระบุที่มาของข้อมูลด้วย…ขอบคุณมากค่ะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น