Social Icons

facebookgoogle pluslinkedinrss feedemail
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Dior แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Dior แสดงบทความทั้งหมด

รีวิวน้ำหอม Dior – Miss Dior Eau DE Parfum



Dior – Miss Dior Eau DE Parfum
-
Fragrance Notes
Top Notes : Italian mandarin
Heart Notes : Arabian jasmine absolute
Base Notes : Indonesian patchouli, Musk
-
-
-
ไม่อยากจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับ Miss Dior เพราะมันยาวเหลือเกิน เดี๋ยวเปลี่ยนสูตร เปลี่ยนแพกเกจมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เอาเป็นว่ารุ่นที่รีวิวเป็น Edition ใหม่ล่าสุดของเบส EDP ซึ่ง reform ครั้งล่าสุดในปี 2012
-
Miss Dior เป็นน้ำหอมแนว Chypre – Floral หรูหรา จัดอยู่ในกลุ่มโทนเดียวกันกับน้ำหอมหรูในใจสาวๆดังชั่น CHANEL COCO MADEMOISELLE และ CHANCE EDP พูดแค่นี้ก็คงจะพอนึกกลิ่นกันออกแล้วใช่มั้ยว่ากลิ่นจะมาประมาณไหน ใช่เลย หรูหรา มีระดับ ทว่า Miss Dior จะดูน่ารัก ซุกซน อ่อนเยาว์เหมือนสาวน้อยวัยแรกรุ่น ปั่นจักรยานเข้าไปในสวนอันแสนร่มรื่น หิ้วตระกร้าสีขาวเต็มไปด้วยผลไม้สุกฉ่ำและมาการอง ปูเสื่อนั่งปิ๊กนิ๊กจัดปาร์ตี้น้ำชายามบ่ายในสวนผลไม้ ฯลฯ
-
-
โน้ตตัวเด่นๆของ Miss Dior ก็คงจะหนีไม่พ้น Patchouli หรือพิมเสนอันให้กลิ่นหรูหราบาดจมูก แพทชูลี่ที่นำมาเป็นส่วนผสมคือแพทชูลี่จากอินโดนีเซีย ผสมผสานกันกับส้ม Mandarin Orange จากอิตาลี ให้กลิ่นพิมเสนซ่าๆเจือกับกลิ่นส้มที่สดชื่น น่ารัก สาวๆวัยเลข 1 ปลายๆ ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วครับ

ช่วงกลางมีมะลิเป็นส่วนผสม แต่ทำได้แค่รองบางๆอยู่ด้านหลัง เพราะท้ายที่สุดส้มเขียวหวานกับพิมเสนก็โดดเด่นอยู่ดี ให้ความรู้สึกน่ารักปนเซ็กซี่ เย้ายวนแบบใสๆ ทอดยาวไปถึงเบสที่มีแพทชูลี่เด่นๆชัดๆ อบอุ่นหน่อยๆ และติดทนดีตามฉบับน้ำหอมเบส Eau de Parfum
-
-
-
สรุปน้า Miss Dior EDP เป็นน้ำหอม Chypre – Floral ให้กลิ่นแพทชูลี่หรูหรา เจือกับส้มเขียวหวานสดชื่นใสๆ ให้กลิ่นน่ารัก ซุกซน เหมือนสาววัยแรกรุ่นกำลังมีความรัก เหมาะกับผู้หญิงวัยเลข 1 ปลายๆ ขึ้นไป หากใครคิดว่า Miss Dior ราคาสูงไปหน่อย หันมาเล่นน้ำหอมระดับล่างอย่าง Soap&Glory กลิ่น Original Pink ก็ได้ กลิ่นคล้ายกันเต็มๆ แต่ก็อาจจะต้องแลกมาด้วยคุณภาพที่ไม่อาจเทียบเทียม Miss Dior ได้ แนะนำให้ใส่กลิ่นนี้ในที่อากาศเย็นๆซักนิด เช่นในห้องแอร์ หรือใส่ยามกลางคืน หากจะใส่ร้อนๆลองเป็นตัว EDT หรือ BLOOMING BOUQUET น่าจะโอเคกว่า

รีวิวน้ำหอม Dior – Dior Addict Eau De Toilette


Dior – Dior Addict Eau De Toilette
-
Fragrance Notes
Top Notes : Mandarin Orange
Middle Notes : Jasmine, Neroli
Base Notes : Vanilla, Sandalwood
-
-
-
ดังที่เคยพูดบ่อยๆว่า น้ำหอม Dior เป็นอะไรที่ขยันปรับสูตรและเปลี่ยนแพกเกจบ่อยจนตามไม่ทัน มารอบนี้ กลางปี 2014 ก็เปลี่ยนแพกเกจให้กับ Dior Addict EDP กับ Dior Addict Eau Fraiche อีกครั้ง พร้อมกับส่งน้ำหอมกลิ่นใหม่ในตระกูลออกมาอีกด้วย นั่นคือ Dior Addict EDT นั่นเอง รุ่นนี้พัฒนามาจาก Addict EDP ตัวดังที่ปรับให้กลิ่นบางเบาลง ใช้ง่ายขึ้น แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้คล้ายกับตัวเดิมเท่าไหร่นะ จะเป็นอย่างไรมาอ่านรีวิวกันได้ อีโมติคอน smile
-
-
จริงๆ Dior Addict EDT ขวดนี้กลิ่นเรียบง่ายและดูธรรมดาไปหน่อย เป็นกลิ่นแนวส้มๆที่ค่อนข้างเบสิค ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย หากดมเฉพาะตอนต้นแทบจะไม่พบส่วนเกี่ยวข้องกับ Addict EDP เลยเพราะกลิ่นหวานๆจากวานิลานั้นลดลงไปเยอะ ได้กลิ่นแต่ส้มใสๆ ต้องใช้เวลาอยู่กับนางนานหน่อยถึงจะพบกลิ่นหวานๆแน่นๆจากวานิลาที่เชื่อมโยงเข้าหาพี่สาว Addict EDP ได้บ้างนิดๆ หลักๆแล้วเจ้า EDT จะยืนพื้นด้วยส้ม มะลิ และวานิลา ให้ความรู้สึกเซ็กซี่อ่อนๆแฝงไปกับความสดใสร่าเริงแบบผู้หญิงๆ
-
-
Dior Addict EDT เป็นน้ำหอม Citrus – Floral เด่นที่กลิ่นส้ม Mandarin Orange กับมะลิ เปิดมาในแว้บแรกก็ได้กลิ่นส้มทันที สดชื่นเหลือเกิน ออกเปรี้ยวหน่อยแต่ไม่ถึงกับเปรี้ยวจี๊ดบาดจมูก อยากให้จินตนาการถึงตอนที่คุณกำลังกัดกินเนื้อส้มเขียวหวานชิ้นใหญ่ที่ฉ่ำแน่นไปด้วยน้ำส้มรสหวานอมเปรี้ยว มีชีวิตชีวา ให้อารมณ์สดชื่นถึงขีดสุดเหมือนดูโฆษณาน้ำส้มทางทีวีเลย ทั้งนี้ยังได้กลิ่นอาย Oriental แฝงอยู่จางๆ
-
ซักพักจะเริ่มฉายแวว White Floral จากมะลิกับนีโรลี่ ซ้อนไปกับส้มแมนดารินที่สดชื่นดังเดิม โดยรวมๆตอนแรกจะออกทางใสสว่างหน่อย แต่พอทิ้งไว้นานๆกลิ่นก็จะเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยมีกลิ่นหวาน Woody ค่อยๆแทรกขึ้นมาทีละน้อย
-
จนในที่สุด ช่วงเบสออกหวาน Woody อบอุ่นจากวานิลาและไม้หอม เจือไปกับกลิ่นส้มใสๆที่เริ่มจะอ่อนหวาน แน่นขึ้นมาอีกระดับ ซึ่งดูๆแล้วสามารถใช้ในฤดูหนาวบ้านเราได้อย่างเหมาะเจาะ หรือจะใช้ในฤดูร้อนก็ยังได้อยู่ เพราะกลิ่นโทน Citrus แรงพอตัว
-
-
หากคุณเป็นคนที่ชอบน้ำหอมกลิ่นส้มอย่าง BVLGARI Omnia INDIAN GARNET มันก็ไม่เสียหายถ้าคุณจะลอง Dior Addict EDT ด้วย ใน คหสต ของเรามันให้อารมณ์คล้ายๆกันนะ คือกลิ่นส้มสดชื่นติดหวานหน่อยๆ ไม่ได้หวานเจี๊ยบซะทีเดียว
-
-
-
สรุปละนะ Dior Addict EDT เป็นน้ำหอม Citrus – Floral ที่เด่นด้วยกลิ่นส้ม รองด้วยมะลิ ให้กลิ่นที่สดชื่น สดใส ทว่าแฝงความเซ็กซี่เล็กๆไว้กับวานิลาและไม้หอม เป็น flanker ที่ดูค่อนข้างจะห่างไกลจากรุ่นต้นตำหรับเหลือเกิน แต่ก็ยังพอโยงเข้าหากันได้บ้างนิดๆหน่อยๆ กลิ่นนี้เหมาะสำหรับใส่ในอากาศร้อนๆแบบประเทศไทยมาก เพราะหลักๆแล้วกลิ่นจะสดชื่นเปรี้ยวๆ และยังมีกลิ่นอบอุ่นแฝงอยู่ จะใช้ในฤดูร้อนก็ได้ ฤดูหนาวก็โอเค เหมาะสำหรับผู้หญิงในทุกๆวัย และใครที่ชอบกลิ่นส้มๆอยู่แล้วก็แนะนำให้ลองดูนะ แม้จะไม่ใช่กลิ่นที่ดูโดดเด่นอะไร แต่ก็เป็นน้ำหอมกลิ่นนึงที่ใช้ง่าย และใช้ได้แทบจะทุกโอกาส

รีวิวน้ำหอม Christian Dior – Dolce Vita

Christian Dior – Dolce Vita
-
Fragrance Notes
Top Notes : Magnolia, Lily-of-the-valley, Rose
Heart Notes : Apricot, Peach, Cinnamon
Base Notes : Heliotrope, Sandalwood, Vanilla
-
-
Dior ประเทศไทยพึ่งนำ Dolce Vita เข้ามาวางขายในปี 2014 นี่เองนะ มาพร้อมกับ Miss Dior EDT Originale จริงๆแล้วเจ้า Dolce Vita นี้เนี่ยเป็นน้ำหอมที่วางขายมานานมากแล้วในเมืองนอก (ตั้งแต่ปี 1994) เพียงแต่ประเทศไทยไม่นำเข้ามาขายเอง คนไทยเลยอาจจะไม่คุ้นเคยกับหน้าตานางเท่าไหร่นัก ตอนนี้ก็มีขายตามเค้าเตอร์แล้ว สามารถแวะไปเทสกลิ่นกันได้จ้า
-
Dolce Vita เป็นน้ำหอมอบอุ่น เหมาะกับวัยผู้ใหญ่ หากคุณอายุยังไม่แตะเลข 4 ขอแนะนำว่าอย่าพึ่งไปลองเลยนะ อาจจะยังไม่เหมาะ กลิ่นของนางค่อนข้างจะซับซ้อน มีมิติมากมาย หวานสมชื่อ (Dolce Vita แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ชีวิตที่แสนหวาน) โดยหวานในเชิง Spicy จากชินนาม่อนและวานิลา, Fruity จากพีชและแอปริคอต, Woody จากไม้หอม และติด Powdery คล้ายแป้งฟุ้งๆอบอวลอีกต่างหาก เป็นกลิ่นสำหรับผู้ใหญ่ที่จัดว่าเซ็กซี่มากพอสมควร
-
โน้ตในช่วงเปิดปรากฏดอกไม้ดังเช่น แมกโนเลีย, Lily of the Valley และกุหลาบ ดูจากโน้ตแล้วเหมือนจะออก Floral แต่เปล่าเลย น้ำหอมกลิ่นนี้ไม่มี Top Notes เพราะทันทีที่สเปรย์ออกมาจมูกก็แตะกับชินนาม่อน แอปริคอต และพีช (ซึ่งเป็นโน้ตจากช่วงกลางล้วนๆ) ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้ง Warm Spicy, Powdery, Woody, Fruity
-
เปิดมาเจอกับกลิ่นแป้งฟุ้งๆอบอวลก่อนเป็นอย่างแรก บาดจมูกเวอร์ มีชินนาม่อนโดดออกมา ตามด้วยผลไม้อย่างพีชกับแอปริคอต ออกกลิ่นแป้ง หวานอบอวลแก่ๆ ช่วงต้นนี่เบิร์ดมองว่ากลิ่นนางคล้ายกับ Tresor ของ Lancome น่าจะเป็นเพราะกลิ่นพีชและออกทางแป้งเหมือนกัน จะต่างที่ Tresor เซ็กซี่กว่าเพราะมีกุหลาบเด่น
-
กลิ่นกลางไม่ต่างจากช่วงแรกนัก แค่ซอฟลงหน่อยๆเท่านั้น ขออนุญาตผ่าน ไปเจอช่วงเบสเลยดีกว่า ช่วงเบสได้วานิลากับไม้จันทน์หอมเข้ามาเสริม ให้กลิ่น Woody เจือกับของเก่าที่ยังเหลือให้สัมผัสได้ คือ ชินนาม่อน และพีช เบิร์ดว่า Dolce Vita หอมในช่วงเบสมากกว่าช่วงต้นๆอีกนะ ไม่รู้สิ พอมีวานิลากับไม้หอมเข้ามาเสริมแล้วมันดูอบอุ่นนุ่มนวล ต่างจากช่วงแรกที่แสบจมูกเหลือเกิน กลิ่นฟุ้งและติดทนมาก ส่วนเบิร์ดชอบที่จะดมกลิ่นนี้แบบผ่านๆเป็นระยะๆ แต่ถ้าให้ใช้เองแล้วอยู่กับนางทั้งวัน บ๊ายบายนะ นอกจากจะเกินอายุไปเท่าตัวแล้วกลิ่นยังแสบจมูกเกิน 5555
-
สรุปคร่าวๆโดยรวม Dolce Vita เป็นน้ำหอมสำหรับผู้ใหญ่ที่ซับซ้อนและเข้าถึงยากหน่อย ให้กลิ่นหวานอบอุ่นในเชิง Warm Spicy ที่ออกโทนแป้งอวลๆฟุ้งๆ เหมาะแก่การใส่ในห้องแอร์หรือยามอากาศเย็นๆหน่อย ซึ่งไม่เหมาะกับประเทศไทยเท่าไหร่นัก ใส่ทำงานได้ ออกงานกลางคืนได้ ระดับความเซ็กซี่ เอาไป 10 เต็ม

รีวิวน้ำหอม Dior – Miss Dior Eau De Toilette Originale


Dior – Miss Dior Eau De Toilette Originale

Fragrance Notes
Top Notes : Galbanum
Middle Notes : Jasmine Sambac
Base Notes : Patchouli

Miss Dior EDT รุ่นวินเทจจากปี 1947 ได้ถูกนำมาปรับสูตรใหม่และนำเข้ามาขายอีกครั้งในปี 2014 พร้อมๆกับ Miss Dior Esprit de Parfum ฐานข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆให้ข้อมูลโน้ตทั้ง 2 รุ่นเหมือนกัน คาดว่าน่าจะเป็นกลิ่นเดียวกัน ต่างที่ความเข้มข้นของน้ำหอม แต่ที่ได้ลองและรีวิวนี้เป็นรุ่น Eau de Toilette Originale เพราะเค้าเตอร์ไทยนำเข้ามาขายแบบเดียวจ้า

สำหรับสูตรใหม่ถูกปรับโน้ตเหลือเพียง 3 อย่าง อันได้แก่ Galbanum (ยางไม้ของต้นยี่หร่า), มะลิ และแพทชูลี่ (ไม่แน่ใจว่าจะให้กลิ่นคล้ายกับรุ่นดั้งเดิมจริงๆที่ออกปี 1947 หรือเปล่า เพราะตัวดั้งเดิมมีโน้ตเกือบๆ 30 อย่าง และไม่เคยลองรุ่นวินเทจแบบดั้ง เดิมแท้ๆ) กลิ่นที่ได้สัมผัสใน Miss Dior EDT Originale ที่ปรับสูตรใหม่นี้ เป็นกลิ่นมะลิเขียวๆในโทน Chypre - Floral กึ่งๆกับ Floral – Green นำทัพโดยมีมะลิเป็นตัวเด่น ออกเขียวๆให้ความรู้สึกหรูหราแบบโบราณ คลาสสิคเหมาะกับวัยผู้ใหญ่ ถ้าให้เทียบกันกับตัว EDT ฝาผูกโบว์ในปัจจุบัน ทั้งสองดูไม่ได้มีความคล้ายคลึงหรือเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิด หากแต่ Originale อาจจะเป็นน้ำหอมในรุ่นแม่ ส่วน EDT ก็คงจะเป็นลูกสาวในวัยใส

กลิ่นเปิด เขียวสดชื่นไปกับมะลิ ซึ่งได้กลิ่นค่อนข้างชัดเจน โดยส่วนตัวคิดว่ามีกลิ่นอาย Diorissimo ติดมาจางๆตรงที่มันให้ความรู้สึก Floral – Green สวยๆ ต่างที่ Miss Dior จะมี Galbanum มาเสริมความหนักแน่นหม่นๆให้กับเนื้อกลิ่น ไม่ได้ใสบางอย่างเช่น Diorissimo ทั้งยังทำให้กลิ่นออกเชิงผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกด้วย ส่วนมะลิก็มาแบบสดชื่น เขียวขจี เอาตรงๆมันเป็นมะลิที่แก่มากในความรู้สึกส่วนตัว และส่งให้ได้กลิ่นอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ในตอนท้ายจะปรากฏโน้ตแพทชูลี่แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงนางเท่าไหร่นัก

Miss Dior EDT Originale ตัวนี้เหมาะสำหรับวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับสาวๆวัยรุ่นที่รักและหลงไหลในกลิ่น Miss Dior รุ่นปัจจุบันทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น EDP, EDT, Blooming Bouquet, Eau fraiche ไปจนถึง Le Parfum เพราะกลิ่นของรุ่น EDT Originale นั้นช่างแตกต่างจากที่ว่ามาเหลือเกิน แนะนำให้ซื้อเป็นของขวัญฝากคุณแม่ คุณยาย หรือญาติผู้ใหญ่จะดีกว่า แต่ก็อยากให้ลองดมดูก่อน อย่างน้อยๆก็ลองสัมผัสกลิ่นของนางดูก็ยังดี แต่ถ้าถามคหสต. ขอเลือกเป็นรุ่นฝาผูกโบว์ดีกว่าเนาะ ^^

รีวิวน้ำหอม Dior – J’adore EAU DE TOILETTE

Dior – J’adore EAU DE TOILETTE
Perfumer : Francois Demachy
Released Year : 2011
.
บางครั้งการที่เราจะหยิบ J’adore EDP มาใช้ในแต่ละครั้งก็อาจจะต้องดูสถานการณ์และสภาพอากาศกันซักนิด ถ้าอากาศร้อนๆก็อาจจะรบกวนผู้อื่นจนเกินไป ผู้ที่ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแรงอาจจะเวียนหัวเอาได้ง่ายๆ Flanker รุ่น EDT จึงถูกส่งออกมาตามหลัง โดยถูกปรับโทนกลิ่นให้มีความเบาสบาย ใช้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลักๆแล้วรุ่นนี้ก็ยังคงให้กลิ่นดอกไม้ทีเปี่ยมไปด้วยออร่าความหรูหราและสง่างามเช่นเคย
.
ตัวน้ำหอมของ J’adore EAU DE TOILETTE เป็นสีทองอมส้มอ่อนๆ ให้กลิ่นสไตล์ Floral ที่มีความสมดุล ลงตัวไม่แพ้รุ่น EDP หากแต่เผยด้านที่สดชื่นและสว่างมากขึ้น ด้วยส่วนผสมหลักๆจาก ส้ม Italian Mandarin, กุหลาบ Damask Rose จากตุรกี และตบท้ายด้วยกลิ่นโปร่งเบาโทน White Floral จาก Neroli Essence ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของดอกมะลิตัวเฉิดฉายในตระกูล J’adore นั่นเอง
.
Top Notes มาแบบหอมใส นุ่มนวล และติดกลิ่นอายหรูหรา นำโดย Italian Mandarin โปร่งๆที่มอบความสดชื่น เบาสบายแก่ช่วงแรกสัมผัส เคล้าด้วยกลิ่น Floral สวยๆจากกุหลาบและเนโรลี่ ทำให้ส้มนั้นไม่ได้ออกทางเปรี้ยวแหลม แต่มาแบบบอบบาง ละเอียดอ่อน ให้ความรู้สึกคล้ายชิมเมอร์วิงค์ๆบนผ้าไหมสีทองอ่อน ประกายแสงระยิบระยับยามต้องแสงแดด
.
ช่วงกลางออกหวานนิดๆ ตาม Pyramid Notes ปรากฏโน้ต Essence ดอกกุหลาบดามาสก์เป็นหลัก แต่โดยส่วนตัวเบิร์ดจับกลิ่น White Floral จากนีโรลี่ได้ชัดกว่า โดยกุหลาบนั้นทำหน้าที่รายล้อมอยู่ห่างๆ เสริมโทน Floral ที่ซ่อนเร้นความเซ็กซี่ระเรื่อๆ ไม่หวือหวาเฉิดฉายหรือออกเชิงเย้ายวนจนเกินงามนัก
.
ในช่วงเบสโดดเด่นด้วยส่วนผสมจาก Neroli ที่ทำหน้าที่สานต่อโทน White Floral อันเป็น signature ของไลน์ได้อย่างดีเยี่ยมไม่แพ้ดอกมะลิในรุ่น EDP แต่นีโรลี่จะนำเสนอความสวยหรูหราที่สว่างสไวมากขึ้นเนื่องจากเป็นดอกไม้ที่ได้จากต้นซิตรัสเปลือกสีเขียว จำพวกมะนาว มะกรูด เป็นต้น นอกจากนี้มันยังทำหน้าที่เสริมความสดชื่นให้แก่ส้ม Italian Mandarin ในช่วงแรกอีกด้วย
.
ความทนทานและการกระจายตัว แน่นอนว่าตกเป็นรองรุ่น EDP ตัวต้นแบบอย่างไม่ต้องสงสัย แต่รุ่นนี้ก็มีข้อดีในตัวของมัน ข้อดีคือ เป็นน้ำหอมกลิ่นหรูหราที่มีความสดชื่น โปร่งเบา และสามารถใช้ได้ง่ายมากขึ้น แถมยังมีความอ่อนเยาว์ลงมาอีกด้วย ถ้าหากคุณกำลังมองหาน้ำหอมกลิ่น สวยงาม หรูหรา เฟมินีนแบบเรียบๆ ไม่ออกหน้าออกตามากนัก J’adore EAU DE TOILETTE ตอบโจทย์ได้ดีมากๆเลยล่ะ และโดยส่วนตัวเบิร์ดเองก็ชอบรุ่น EDT มากกว่า EDP อีกด้วย
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Christian-Dior/J-adore-Eau-de-Toilette-13017.html

รีวิวน้ำหอม Dior - J’adore L’absolu



Dior - J’adore L’absolu
Perfumer : Francois Demachy
Reformular Year : 2014
.
อาจกล่าวได้ง่ายๆว่า J’adore L’absolu คือเวอร์ชั่นที่เข้มข้นขึ้นของ J’adore EDP ซึ่งล่าสุดในช่วงปลายปี 2014 ที่ผ่านมา ทาง Dior พึ่งจะทำการ reformular ปรับสูตรใหม่ให้กับน้ำหอมรุ่นนี้มาหมาดๆ ซึ่งสูตรล่าสุดนั้นปราศจากเงาของกระดังงา อันเป็นส่วนผสมที่เฉิดฉายมากๆใน J’adore L’absolu เวอร์ชั่นก่อน
.
J’adore L’absolu มาในเบสความเข้มข้น Eau de Parfum เช่นเดียวกับรุ่นต้นแบบ ทว่าสิ่งที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นคือส่วนผสมที่ถูกใส่มาอย่างจัดเต็ม สำหรับรุ่น L’absolu มีส่วนผสมหลักๆคือ Damascena Rose Absolute หรือกลิ่นของดอกกุหลาบเข้มข้น, Sambac Jasmine Absolute หรือดอกมะลิอาหรับเข้มข้น และตบท้ายด้วย Indian Tuberose หรือดอกซ่อนกลิ่นจากประเทศอินเดียนั่นเอง
.
กลิ่นเปิดมาแบบหรูหราสุดๆ หอมแน่น นวลเนียน อลังการงานสร้างไปกับโทน Oriental - Floral จากดอกไม้สีขาว เฉกเช่นมะลิและซ่อนกลิ่น โดยส่วนตัวเบิร์ดยังแอบมีความรู้สึกถึงกระดังงาที่หายไปอยู่นะ อาจจะเป็นกลิ่นที่ติดจมูกยามได้กลิ่น L’absolu ก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังห้อมล้อมด้วยกุหลาบอันเป็นตัวแทนความสวยงามและความเซ็กซี่ของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
.
ในช่วงกลางตัวชูโรงคือ Sambac Jasmine Absolute หรืออีกชื่อหนึ่งของมันคือ Arabian Jasmine ใช่แล้ว … ดอกมะลินั่นเอง มะลิพันธุ์อาหรับถูกใส่มาในปริมาณเข้มข้น เป็นตัวแทนของความเฟมินีนที่มีระดับของน้ำหอมไลน์ J’adore ช่วงนี้เปรียบเสมือนชุดราตรีสีทองอร่ามที่บรรจงตัดเย็บอย่างประณีต เนี๊ยบทุกระเบียดนิ้ว สวยงาม และเลอค่า พร้อมที่จะทำให้สตรีผู้สวมใส่มันกลายเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในค่ำคืนนั้นๆ J’adore L’absolu ก็เช่นกัน
.
ช่วงเบสโน้ตยังคงจับกลิ่นมะลิตัวเอกได้ชัด โดยโน้ตที่ปรากฏในช่วงนี้คือ Indian Tuberose หรือดอกซ่อนกลิ่นจากประเทศอินเดีย ที่เป็นตัวเสริมความสวยสง่าให้กับโทน White Floral อย่างที่บอก วิญญาณของกระดังงายังคงตามมาหลอกหลอน เพราะเบิร์ดเองรู้สึกถึงดอกกระดังงาอยู่ตลอดเวลา (ไม่รู้จมูกเพี้ยนไปเองรึเปล่า แต่มันรู้สึกอะ) ถ้าถามถึงความแตกต่างระหว่างสูตรใหม่ที่กำลังรีวิวอยู่ กับสูตรก่อนหน้านี้ เบิร์ดก็บอกความต่างไม่ได้นะเพราะไม่ได้เทสเปรียบเทียบกันจะๆ แต่เท่าที่ลองสูตรใหม่มา ก็รู้สึกว่ามันไม่ต่างจากเดิมมากนัก
.
ความทนทานบนผิวและการกระจายตัวทำได้ดีในระดับเดียวกันกับ J’adore EDP จริงๆรุ่นนี้อาจจะทนกว่านิดหน่อย แต่โดยรวมๆทั้งสองรุ่นก็แทบจะไม่ต่างกันจนถึงขั้นเด่นชัดมากเท่าไหร่ ถ้าคุณชอบ J’adore EDP และกำลังมองหาเวอร์ชั่นที่กลิ่นนุ่มลึก นวลเนียน มีมิติที่เย้ายวนมากยิ่งขึ้น แนะนำให้ลอง J’adore L’absolu รุ่นนี้ดูนะ น่าจะตอบโจทย์ความต้องการได
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Christian-Dior/J-Adore-L-Absolu-4496.html

รีวิวน้ำหอม Dior – J’adore Eau De Parfum

Dior – J’adore Eau De Parfum



เดิมที J’adore รุ่นต้นตำหรับแท้ๆเลยออกวางขายครั้งแรกเมื่อปี 1999 แต่ระยะหลังๆมานี้ดูเหมือนว่าสุคนธกรประจำ Dior House อย่าง Francois Demachy กำลังพยายามที่จะปฏิวัติน้ำหอม ของ Dior เสียใหม่ เพราะเขาได้ทำการ reformular สูตรน้ำหอม Dior ยกเคาน์เตอร์กันเลยทีเดียว ซึ่ง J’adore เองก็โดนเปลี่ยนสูตรไปกะเขาด้วย (แต่เบิร์ดเองก็ไม่แน่ใจว่าสูตรที่วางขายอยู่ตอนนี้รีฟอร์มล่าสุดเมื่อไหร่ ใช่ปี 2012 รึเปล่า รู้เพียงแค่ว่าเป็นคนละสูตรกับที่ลงข้อมูลใน Fragrantica แน่นอน) สูตรดั้งเดิมเป็นยังไงอันนี้ก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยมีโอกาสได้ลอง แต่สำหรับรีวิวนี้พูดถึงสูตรล่าสุดที่วางขายในปัจจุบันนี้นะจ๊ะห์
.
ถ้ามีใครซักคนพูดถึงน้ำหอมกลิ่นนี้ขึ้นมา เบิร์ดว่าสิ่งแรกที่คิดว่าทุกๆจะต้องนึกถึงคือแพกเกจจิ้งขวดสีทองที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างแน่นอน ซึ่งนอกจาก J’adore จะมีรูปลักษณ์ของขวดที่สวยหรูดูมีระดับแล้ว กลิ่นของตัวน้ำหอมเองก็สวยหรูไม่แพ้กัน เป็นกลิ่น Floral หวานๆนวลๆจากดอกไม้ 3 ชนิดที่เมื่อรวมกันแล้วสร้างออร่าความเจิดจรัสและเปล่งประกายแก่ผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมอบความรู้สึกเฟมินีนสูง อีกด้วย โดยหลักๆจะมีส่วนผสมอยู่ 3 อย่าง คือ Ylang-Ylang Essence (ดอกกระดังงา), Damascena Rose Essence (ดอกกุหลาบ), และ Sambac Jasmine Absolute (ดอกมะลิอาหรับเข้มข้น)
.
ช่วงต้น ทันทีที่เปิดมาก็สัมผัสได้กับกลิ่นอายความหรูหรา ดั่งเช่นแสงอาทิตย์สีทองทอแสงลงบนพื้นน้ำทะเลยามเย็น นำโดย Ylang-Ylang Essence เอสเซนส์ดอกกระดังงามาแบบเข้มข้นและนวลเนียน ละมุนจมูก ใครชอบกลิ่นดอกไม้หรูๆฟุ้งๆต้องชอบอย่างแน่นอน เพราะตัวนี้เปิดได้ Floral จ๋าเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากกระดังงาจะโดดเด่นมากๆแล้วยังได้กลิ่นมะลิที่ค่อนข้างชัดตีขนานขึ้นมาอีกด้วย
.
ผ่านไปซักพักหนึ่ง เมื่อดำเนินเข้าสู่ช่วงกลางจะเป็นช่วงเวลาของดอกกุหลาบ กุหลาบที่ใช้เป็นส่วนผสมของ J’adore สูตรนี้คือกุหลาบ Damascena Rose แต่ส่วนตัวเบิร์ดเองจับกลิ่นกุหลาบได้ไม่ชัดเท่าไหร่ ดันจับกลิ่นกระดังงากับมะลิได้กว่า ออก Oriental นิดๆแต่ไม่ใช่ว่ากลิ่นหนักแน่นจนใช้ยาก เนื่องจากมีความ Sparkling ใสๆซ่อนไปกับความนุ่มละมุนของดอกไม้อยู่ด้วย
.
ในช่วงเบสโน้ตจะเด่นที่ Sambac Jasmine หรือมะลิอาหรับเข้มข้นที่สวยงามและเป็นตัวแทนความเฟมินีนของ หญิงสาว ติดโทนอบอุ่นสไตล์ Woody จางๆจาก Sandalwood ให้ความรู้สึกอบอุ่น นุ่มนวล และเซ็กซี่แบบมีพลัง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับการใส่ในที่อากาศเย็นซักนิด ไม่แนะนำให้ใส่ออกแดดเพราะในเนื้อกลิ่นยังคงแฝงกลิ่นอาย Oriental อยู่เนืองๆ คนรอบข้างบางคนที่ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแรงอาจจะเวียนหัวเอาได้
.
ความทนทาน ติดทนตามมาตรฐานน้ำหอมเบส Eau de Parfum ที่มีเนื้อกลิ่นแน่นๆ กระจายตัวได้ในระดับกลางๆ เหมาะสำหรับหญิงสาวในวัย 20 ปีขึ้นไป สาวๆคนไหนชอบกลิ่นดอกไม้หรูหราที่หวานอบอุ่นนุ่มนวลและเฟมินีน J’adore น่าจะตรงกับความต้องการนะ ใช้ได้หลากหลายสถานการณ์ตั้งแต่วันสบายๆยันออกงานกลางคืน ใส่ชุดสวยๆยิ่งเข้ากัน
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Christian-Dior/J-adore-210.html

รีวิวน้ำหอม Dior – J’adore L’Or ESSENCE DE PARFUM

 
 

Dior – J’adore L’Or ESSENCE DE PARFUM
 
  โดยส่วนตัวเบิร์ดขอยก J’adore L’Or ให้ขึ้นแท่นเป็นน้ำหอมตัว Top สุดของไลน์ J’adore เลยละกันเนาะ เหตุผลคือ

1. เจ้าน้ำหอมรุ่นนี้ถูกรังสรร
ค์ออกมาเพื่อยัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของไลน์สกินแคร์สุดหรูที่มีราคาแพงหูฉีกอย่าง L’Or de Vie สีทองอร่าม ซึ่งเป็นไลน์สกินแคร์ Top สุดของ Dior เช่นกัน

2. รูปทรงขวดที่ดูหรูหรา และ packaging ที่งดงามเป็นพิเศษเหนือกว่า
รุ่นอื่นๆ

3. ส่วนผสมที่ล้ำค่า

4. เบสความเข้มข้นของน้ำหอมที่
สูงที่สุดในไลน์ และ

5. ราคาต่อหน่วยที่แพงลิบ

ด้วยเหตุประการฉะนี้ เอามงไปเลย ตำแหน่งน้ำหอมตัว Top ของไลน์

.
J’adore L’Or เป็นน้ำหอมแนว Oriental – Floral โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมหวานและเย้ายวนของดอกไม้ที่ถูกเบลนเข้า กับวานิลา ให้ความรู้สึกอบอุ่น เย้ายวน น่าเข้าหาชวนคลุกวงใน. flanker รุ่นนี้มาในเบสความเข้มข้น Essence de Parfum ซึ่งจัดว่าเป็นรุ่นที่มีเบสความเข้มข้นสูงที่สุดในกลุ่ม ถ้าเปรียบเทียบ J’adore L’absolu คือ Eau de Parfum Intense, J’adore L’Or ก็คงจะเปรียบได้กับ Pure Parfum ที่มีความเข้มข้นมากที่สุดนั่นเอง
.
โน้ตอันเป็นหัวใจสำคัญของ J’adore L’Or ประกอบด้วย 3 อย่างหลักๆ ส่วนผสมอย่างแรกคือ Rose de Mai Absolute หรือกุหลาบ May Rose เป็นกุหลาบพันธุ์เดียวกับที่ใช้ปรุง CHANEL No5 ดอกกุหลาบพันธุ์นี้จัดว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่หาได้ยาก เนื่องจากว่าใน 1 ปีมันจะเบ่งบานสะพรั่ง พร้อมให้เก็บเกี่ยวเฉพาะเดือนพฤษภาคมเท่านั้น
.
ส่วนผสมถัดไปคือ Jasmine de Grasse Absolute หรือดอกมะลิจากเมือง Grasse, แคว้น Provance, ประเทศฝรั่งเศส. ดอกมะลิจากเมืองนี้นับว่าเป็นส่วนผสมอีกอย่างหนึ่งที่หายากมาก เนื่องจากมีปริมาณการปลูกที่น้อยนิด (ต่างจากลาเวนเดอร์ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายจนเป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองโพรวองซ์) ซึ่งทุกๆวันหยุดแรกของเดือนสิงหาคมในแต่ละปี ที่เมืองแห่งนี้จะจัดเทศกาล “Jasmine Festival in Grasse” เพื่อเฉลิมฉลองให้กับฤดูกาลเก็บเกี่ยวดอกมะลิสุดหายากนี้ถึง 3 วันเต็ม เรื่องราวของเทศกาลนี้สามารถหาอ่านได้ตามอินเตอร์เน็ต ขอไม่พูดถึงรายละเอียดเพราะ มันยาว เกรงว่าจะออกนอกทะเลไปมากกว่านี้
.
ส่วนผสมสุดท้ายคือตัวประกอบที่เป็นหัวใจสำคัญของ J’adore L’Or นั่นคือ วานิลา. วานิลาที่ใช้ปรุงเป็นส่วนผสมก็ไม่ใช่วานิลาธรรมดาทั่วๆไป เพราะนี่คือ Tahitian Vanilla หรือวานิลาจาก French Polynesia นั่นเอง กลิ่นต่างจากวานิลาธรรมดายังไงอันนี้ก็ไม่ทราบ เพราะส่วนตัวแยกกลิ่นไม่ออกนะ ดมดูก็ได้กลิ่นวานิลาเหมือนเดิม
.
ช่วง Top Notes ให้กลิ่นหรูหรามากๆ ตามข้อมูลแจ้งว่าเป็นช่วงของดอกกุหลาบ Rose de Mai แต่โดยส่วนตัวเบิร์ดจับกลิ่นมะลิกับวานิลาได้เป็นอย่างแรก มาแบบหวานแน่น จัดเต็ม และเย้ายวนเกิดห้ามใจ ส่วนกุหลาบนั้นดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก เพราะจุดสำคัญจริงๆเขาโฟกัสไปที่ความหวานเฟมินีนจากดอกมะลิกับวานิลาซะมากกว่า
.
ตั้งแต่ช่วง Middle Notes ไล่ยาวไปจนถึงช่วง Base มีตัวเด่นคือดอกมะลิ Jasmine de Grasse ให้กลิ่น White Floral หรูหราและมีระดับเช่นเคย ทำหน้าที่โดดเด่นควบคู่ไปกับ Tahitian Vanilla ที่มอบความหวานหยดย้อย หนักแน่นและอบอุ่นสไตล์ Oriental
.
ความทนไม่ต้องพูดถึง ทนแบบสุดยอดจริงๆ และกระจายตัวได้ดีในระดับเทพมากๆอีกด้วย แม้ปริมาณใหญ่สุดจะแค่ 40 ml แต่เชื่อเถอะ ปริมาณที่ใช้ต่อ 1 ครั้งมันน้อยจริงๆ เพียง 2 สเปรย์ก็ให้กลิ่นฟุ้งในระดับรอบตัวได้สบายๆ แต่มีข้อแม้นิดนึงว่า ควรใส่ออกงานกลางคืนเท่านั้นนะจ๊ะ ที่อากาศเย็นๆเท่านั้นที่คนรอบข้างจะสามารถรับได้ ยิ่งสวมชุดราตรีสีทองยิ่งเป็นอะไรที่เข้ากันเป็นพิเศษ
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Christian-Dior/J-Adore-L-Or-10371.html

น้ำหอมเทสเตอร์ คืออะไร?



ขอชี้แจงถึงน้ำหอมเทสเตอร์ครับเพื่อไว้เป็นความรู้กันนะครับ...

น้ำหอม ที่ขายในเมืองไทยบ้านเรา เวลาเราไปเคาน์เตอร์น้ำหอมเนี่ย ก็จะมีตัวอย่าง หรือเรียกว่าเทสเตอร์ วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครับ ตัวขายเทสเตอร์ก็คือตัวนี้แหละ ที่ทางเจ้าของแบรนด์ เค้าตัดสต๊อก ออกมา เพื่อที่ใช้ไว้สำหรับเป็น เทสเตอร์สำหรับลูกค้า และจะไม่ได้บรรจุกล่องสวยงามเหมือนของขายที่เป็นกล่องซีล แต่จะเป็นแต่ขวดน้ำหอมเพียว ๆอยู่ในกล่องสีขาว สีน้ำตาล เราจะเรียกกล่องประเภทนี้ว่ากล่อง Demo และบางแบรนด์ ก็จะมีสกรีน หน้าขวดแตกต่างจากขวดที่ขายแพคเกจแต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกัน
โดยส่วนมากแล้วจะพิมพ์คำว่า " Tester Not For Sale" และอาจจะมีฝาหรือไม่มีฝามาให้นั้นแล้วแต่บางแบรนด์บางรุ่นครับ
เช่น...
- Chanel เทสเตอร์ในรุ่นท๊อปๆเช่น No.5,Coco จะไม่มีฝานะครับ
ส่วนรุ่นรองลงมาจะมีฝาในบางรุ่นเช่น BLEU,Allure Homme ทุกรุ่นของชาแนลจะมาในกล่องสีขาวสะอาดตา พร้อมฉลากบาร์โคดระบุชื่อรุ่น หมายเลขรุ่นและโคด 6 หลักครับ ด้านในบางขวดจะสกรีนว่า " Tester Not For sale" บางรุ่นก็จะเป็นสติกเกอร์ใสๆครับ








- Dior เทสเตอร์ของดิออร์ เกือบทุกรุ่นจะมีฝาพร้อมกล่องสีขาวสะอาดครับ ขวดน้ำหอมเหมือนกับตัวขายปกติทุกประการ จุดสังเกตุด้านในขวดจะมีการสกรีนที่ขวดไว้ว่า "Tester not For sale" เช่นกัน ฉลากที่กล่องจะระบุชื่อรุ่นสวยงามพร้อมบาร์โคดครับผม





- Bvlgari, Ferragamo, Ferre พวกนี้มาจากโรงงานเดียวกัน กล่องน้ำตาลเหมือนกัน และไม่มีฝา แต่ก็มียกเว้นบางล๊อตนะคับ ผมเคยได้ Ferragamo แบบมีฝามาด้วย แต่ไม่บ่อยนะครับ
- Lanvin, Burberry, S.T.Dupont, Paul Smith พวกนี้ก็โรงงานเดียวกัน ประหลาดมากๆ บางทีรุ่นเดียวกัน ทำมาบางล๊อตไม่มีฝา บางล๊อตมีฝา บางรุ่นมีฝาตลอด บางรุ่นไม่มีฝาตลอด ไม่ตายตัวครับ
- Davidoff มีฝาทุกรุ่น ยกเว้น Cool Water[ญ]บ้าง ในบางล็อตครับ
- CK รุ่นหลังๆ ย้ายไปผลิตที่อเมริกาหมดแล้ว กล่องน้ำตาล ไม่มีฝาครับ รุ่นใหม่ๆจะมีกล่องสีขาวสะอาดพร้อมพลาสตกครอบฝาครับ
- Gucci นี่ก็แปลก รุ่น Envy ทั้งหลาย กับรุ่น Eau de Parfum ล็อตเก่าจะกล่องน้ำตาล(ไม่เคยมีฝา)ล๊อตใหม่จะกล่องขาว(มีฝาบ้าง ไม่มีบ้าง)
- Anna Sui ไม่มีฝาทุกรุ่น ยกเว้นรุ่นนกยูง Flight/Night of Fancy
- Britney Spears, Elizabeth Arden, Juicy Couture กล่องเทสเตอร์สีขาวส่วนใหญ่ไม่มีฝา มีบ้างที่มีฝาในรุ่น FantasyกับCircus ครับ
- J.Lo มีฝาทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น My Glow
- Vera Wang ไม่เคยมีฝา
ส่วนเรื่องฝากับน้ำหอมนั้น ความสำคัญของฝาเป็นเรื่องรองลงมาครับ คือกล่าวได้ว่าหากไม่มีฝาแล้วคุณภาพจะลดลงหรือไม่นั้นผมขอบอกได้เลยครับว่า ไม่มีผลกระทบในการระเหยมากเท่าไหร่ครับแต่หากคุณเก็บรักษาให้ถูกวิธี คือใส่ขวดไว้ในกล่องที่บรรจุ ไม่วางนอน และเก็บไว้ในที่ไม่โดนแสงแดดจ้าหรือความร้อนสูง นั่นก็เท่ากับสามารถเก็ยรักษาน้ำหอมไว้ในสภาพคงเดิมได้มากที่สุดแล้วครับ

รีวิวน้ำหอม Dior – DIOR HOMME COLOGNE


Dior – DIOR HOMME COLOGNE
-
Fragrance Notes
Top Notes : Calabrian Bergamot
Middle Notes : Moroccan Grapefruit Blossom
Base Notes : Musk
-
-
-
DIOR HOMME COLOGNE รุ่นนี้ออกปี 2013 ถูก reformular มาจาก COLOGNE รุ่นปี 2007 นะครับ ในบรรดา flanker ของ DIOR HOMME ทั้งหมด ในความเห็นของเราคิดว่ารุ่น COLOGNE รุ่นนี้ดูจะห่างไกลจาก DIOR HOMME ต้นตำหรับมากที่สุดแล้วล่ะ เนื่องจากไม่มีกลิ่นอายโทน Powdery จากไอริสอันเป็นโน้ต Signature ของตระกูล แต่เจ้า COLOGNE นี้จะเด่นทางด้าน Citrus ซึ่งพอจะเชื่อมโยงเข้าหา DIOR HOMME SPORT ได้
-
กลิ่นของ DIOR HOMME COLOGNE จัดอยู่ในประเภท Citrus – Aromatic โฟกัสตัวเด่นไปที่พืชตระกูลมะนาว เป็นกลิ่นซิตรัสที่สดชื่นสุดขั้ว เปรี้ยวแหลม สะอาด และทันสมัยแบบสุดๆ ชวนให้นึกถึงตั้งแต่ น้ำทะเลสีครามใส ซัดเข้าหาหาดทรายสีขาวละเอียด ไปจนถึงสระว่ายน้ำที่ใสแจ๋วใจกลางโรงแรมหรูระดับห้าดาว
-
กลิ่นของรุ่น COLOGNE นั้นสดชื่นใส เรียบง่ายมาก มีพระเอกเป็นมะกรูดคาลาเบรียนที่หล่อเหลาเอาการ และค่อนข้างที่จะฉายเดี่ยว กลิ่นเปิดเป็นยังไง กลิ่นสุดท้ายก็เป็นอย่างนั้
-
-
-
กลิ่นเปิดนำโดยมะกรูดที่เปรี้ยวคม สดชื่นมีระดับ เป็น Summer Scent ที่ aromatic ใสสะอาด สว่างไสว เหมาะกับใส่ในยามฤดูร้อนเป็นที่สุด
-
ช่วงกลางรายล้อมด้วยโทน White Floral บางเบาจากดอก Grapefruit Blossom ที่อ่อนบางเหลือเกิน เจือไปกับมะกรูดที่โดดเด่น เราว่าผู้หญิงใช้ได้กลิ่นนี้ ออกทาง Unisex
-
เบสโน้ตยังคงเด่นที่มะกรูดเช่นเดิม เจือไปกับมักส์จางๆที่ไม่มีทีท่าว่าจะออก Musky ซักนิด อ้อ! น้ำหอมกลิ่นนี้แม้จะชื่อ COLOGNE แต่เบสน้ำหอมจริงๆเป็น EDT นะครับ ทนปานกลางนะ
-
-
-
สรุปโดยรวม DIOR HOMME COLOGNE เป็นน้ำหอมสดชื่นสำหรับฤดูร้อน ที่เด่นด้วยมะกรูด ให้กลิ่นอาย Citrus สะอาด เปรี้ยว สดชื่น เป็นน้ำหอมผู้ชายที่ออก Unisex ผู้หญิงสามารถใช้ได้ด้วย เหมาะกับการใส่ในวันว่างๆ เที่ยวเล่นชายทะเล ทำกิจกรรมกลางแจ้ง อะไรที่ต้องเจอกับอากาศร้อนๆ กลิ่นนี้เอาอยู่ เป็นกลิ่นเบสิคๆที่ใช้ได้เรื่อยๆ แต่เปี่ยมไปด้วยเนื้อกลิ่นคุณภาพระดับ Dior

Review-น้ำหอม Dior Homme Sport 2012 Edition [EDT]



Dior – DIOR HOMME SPORT
-
Fragrance Notes
Top Notes : Ginger, Citron
Middle Notes : Iris
Base Notes : Green notes, Cedar
-
-
-
DIOR HOMME SPORT รุ่นต้นตำหรับถูกส่งออกมาในปี 2008 ซึ่ง ณ ปัจจุบันสูตรเดิมได้ถูก reformular ไปแล้ว สูตรใหม่ล่าสุดคือ Edition ปี 2012 (ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้ลองและหยิบนำมารีวิวนี่ล่ะ) โดยหลักๆแล้วทั้ง 2 เวอร์ชั่นนั้นล้วนแต่ยืนพื้นด้วยกลิ่นซิตรัสกับขิงอันให้กลิ่นสดชื่น ความแตกต่างเห็นได้ชัดที่สุดคือ โน้ตของรุ่นใหม่จะถูกปรับให้เหลือน้อยลง และมีไอริสเพิ่มเข้ามา
-
กลิ่นของ Dior Homme Sport นั้นสดชื่นมีระดับ เป็นน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร เพราะนอกจากจะเด่นที่มะนาวกับขิงแล้ว ยังมีไอริส (โน้ต Signature ประจำตระกูล Dior Homme) เป็นส่วนประกอบหลัก ให้ความสดชื่นซ่าๆ เรียกชีวิตชีวาและความกระฉับกระเฉงระหว่างวันได้ดีทีเดียว ใน คหสต กลิ่นนี้เป็นน้ำหอมผู้ชายที่เท่มากกลิ่นนึงเลยนะ ดูหล่อเท่ๆ มีระดับอีกต่างหาก
-
-
-
Dior Homme Sport เปิดด้วยกลิ่นสดชื่นคมๆจาก Citron (พืชตระกูลซิตรัสชนิดหนึ่ง ขอเรียกมันง่ายๆว่ามะนาวละกัน) ปนมากับกลิ่นขิง บาดจมูกหน่อยๆ ซ้อนด้วยไอริสที่เป็นตัวเชื่อมให้โยงเข้าหา Dior Homme รุ่นต้นตำหรับได้จางๆจากกลิ่นโทน Powdery ของมัน แม้น้ำหอมกลิ่นนี้จะออกกลิ่นสดชื่นที่ทั้งซ่าและคมบาดจมูก แต่กลับซ้อนด้วยกลิ่นไอริสที่นุ่มละมุน เป็นน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตที่ไม่เหมือนยี่ห้อไหนๆเลยจริงๆ
-
ช่วงกลางออกกลิ่นอาย Sport ชัดเจนขึ้นหน่อยเมื่อกลิ่นโทนนุ่มๆจากไอริสจางลง เผยกลิ่นมะนาวและขิงโดดเด่นเต็ม ที่ สดชื่นสุดขั้ว ให้ภาพหนุ่มฝรั่งหล่อคม ไว้หนวดเคราหน่อยๆ ตัดผม Under Cut สวมแจ็กเก็ตหนังเท่ๆ นั่งรถสปอร์ตหรูสีดำ ฯลฯ กลิ่นในช่วงนี้เราคิดว่า แอบคล้ายกับ BLEU DE CHANEL ในบางแว้บ
-
ในช่วงเบส Woody จางๆเจือไปกับมะนาวที่เปรี้ยวแหลมและใส เหลือเพียงมะนาว Citron อย่างเดียวที่อยู่ติดผิวไปจนเลือนหาย กลิ่นนี้เหมาะสำหรับหนุ่มๆที่มีบุคลิกทะมัดมะแมงหน่อย แนวลุยๆ เล่นกีฬาหรูๆ เช่น ตีกอล์ฟ แข่งเรือใบ ขี่ม้า ฯลฯ กลิ่นมะนาวสว่างๆแบบนี้เหมาะกับการใส่เล่นกีฬามากๆ ชื่อก็บอกอยู่แล้วเนอะว่า Sport
-
-
-
สรุปจ้า DIOR HOMME SPORT เป็นน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตที่เท่และมีระดับ เด่นด้วยกลิ่น Citron และขิง เจือด้วยไอริสนุ่มๆ ให้กลิ่นสดชื่นซ่าๆเย็นๆ สามารถฉีดเพื่อเติมความแอคทีฟระหว่างวันได้ดี เหมาะแก่การใส่เล่นกีฬา ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใส่เรียน ทำงาน ได้ทั้งนั้น เพราะกลิ่นสดชื่นไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อคนรอบข้างอยู่แล้ว ก็แนะนำ DIOR HOMME SPORT สำหรับหนุ่มๆที่รักน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตเท่ๆแมนๆ ดูเป็นผู้ชายลุยๆเนอะ กลิ่นนี้ยังคล้ายกับ DIOR HOMME COLOGNE ด้วย ติดตามอ่านรีวิวได้ รีวิวถัดไปจ้า
 
 
 

Perfume Pyramid

Top Notes
Citron Ginger flower
Middle Notes
iris
Base Notes
Green Notes Cedar

Main Notes According to Your Votes

Citron177
iris125
Ginger flower100
Cedar60
Green Notes

Review-น้ำหอม Christian Dior Addict [EDP]

น้ำหอม Christian Dior Addict [EDP] 



น้ำหอมกลิ่นใหม่ที่บรรจงสร้างสรรค์ เพื่อสะท้อนนิยามธรรมชาติแห่งหญิง อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นคุณ
 โปรยเสน่ห์น้ำหอมแห่งความแรงร้ายใหม่จาก Dior Addict
 เผยปริศนาในธรรมชาติที่ยากหยั่งรู้ และเข้าใจในความเป็นหญิง
 ด้วยเสน่ห์หอมของกลิ่น Mandarin Leaf และ Silk Tree Flower
 ที่เป็นดั่งเสียงกระซิบแรกแห่งความสดชื่น และเผยหัวใจของ Dior addict 
ด้วยโทนกลิ่น Vanilla ของราชินีแห่งรัตติกาล หรือดอก Queen of the Night 
ดอกไม้หายากที่พบได้เพียงในประเทศจาไมก้า
 และเบ่งบานเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ท่ามกลางความเร้าร้อน
 ยั่วยวนของกลิ่น Orange Blossom ที่อบอวลแผ่ผ่านความรู้สึกให้ตราตรึง
 ตราบนานในความทรงจำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
Dior Addict Eau de Parfum by Dior is a Oriental Floral fragrance for women. This is a new fragrance. Dior Addict Eau de Parfum was launched in 2012. The nose behind this fragrance is Francois Demachy. Top notes are silkwood blossom and mandarin orange; middle note is night blooming cereus; base note is vanilla.

Perfume Pyramid

Top Notes
Silkwood Blossom Mandarin Orange
Middle Notes
Night blooming Cereus
Base Notes
Vanilla

Main Notes According to Your Votes

Vanilla173
Night blooming Cereus121
Mandarin Orange76
Silkwood Blossom

วิธสังเกตุน้ำหอมปลอมและสังเกตุน้ำหอมNOBOX

วิธีดูน้ำหอมปลอมนั้นก็มีหลายวิธีดังนี้

 

1. น้ำหอมของแท้นั้นจะดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายกว่าของปลอมครับ ดังนั้นหากเราฉีดน้ำหอมแล้วเห็นคราบมันๆติดผิวอยู่เป็นเวลานาน อาจจะเกินครึ่งขั่วโมงหรืออยู่ติดผิวไปจนกว่าเราจะล้างออก นั่นก็แสดงว่าน้ำหอมนั้นมีสิทธิเป็นของปลอมสูงมากครับ น้ำหอมแท้ที่ผมเคยใช้ไม่มีตัวไหนมีคราบมันติดผิวเกิน 10 นาทีครับ
และส่วนใหญ่จะดูดซึมเร็วกว่านั้นมากเลยทีเดียว

2. ดูได้จากตัวอักษรหรืองานพิมพ์บนกล่องครับ โดยที่ของแท้จะต้องมีความคมชัด มีเลขบาร์โคดที่ตรงกันกับเลขบาร์โคดบนขวด และหากเรามีตัวอย่างของแท้มาเทียบก็จะดีมากครับ เพราะของปลอมส่วนใหญ่จะปลอมไม่เหมือนมากนัก เรียกว่าถ้าเทียบกันจะๆนี่เห็นความต่างได้ง่ายมากครับ(ยกเว้นของปลอมเกรด mirror) แต่ของแท้ตัวที่ดังๆบางทีก็เปลี่ยนขวดหรือเปลี่ยนกล่องบ่อยเหมือนกันเพื่อ ป้องกันการปลอมแปลง

3. ดูที่กลิ่นครับ ถ้าของปลอมเกรดต่ำนี่กลิ่นจะต่างจากของแท้มากทีเดียว แต่ถ้าเราไม่มีของแท้ให้เทียบ หรือเจอพวกเกรด mirror ก็ให้ลองฉีดใส่แขนแล้วทิ้งไว้ซัก 20 นาทีครับ เพื่อให้กลิ่นเปลี่ยนไปสู่ระดับ Heart Notes หรือจะรอจนถึง Base Notes เลยก็ได้ และถ้าหากน้ำหอมที่เราฉีดนั้นยังมีกลิ่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก็น่าจะเป็นของปลอมละครับ เพราะน้ำหอมปลอมมักจะเลียนแบบของจริงเฉพาะกลิ่นเปิด หรือ Top Notes เท่านั้น กลิ่นที่ออกมาจะเหมือนเดิมตลอดเวลา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาแต่อย่างใด

อันนี้เป็น 3 วิธีหลักๆครับ จริงๆก็ยังมีอีก เช่น
การลองเอาขวดน้ำหอมมาเขย่าเพื่อดูฟองอากาศ เนื่องจากน้ำหอมคุณภาพสูงจะมีแอลกอฮอล์อยู่น้อย ดังนั้นเวลาเขย่าขวดน้ำหอมแท้ควรจะมีฟองอากาศที่ละเอียด และหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากเขย่าเพียง 10 วินาที(วิธีนี้แค่ช่วยได้นิดหน่อยครับ เพราะน้ำหอมแท้ก็ผสมแอลกอฮอล์ ไม่เท่ากันอยู่ดี)



ส่วนน้ำหอมแบบ No Box ก็มีหลายแบบนะครับ ทั้งแท้ทั้งปลอม เพราะเห็นขายกันระบาดเหลือเกินในเวบต่าง ๆ ซึ่งคนใกล้ตัวเจอของปลอมก็มีและที่สำคัญ หลาย ๆ คนซื้อไปก้ไม่รู้ด้วยว่าปลอม เพราะ...

1. ไม่เคยลองของแท้
2. เคยลอง แต่จำไม่ได้เท่าไหร่ และคิดไปเองว่า ไม่ปลอมมั้ง Feedback คนขายดีจะตาย!
3. ไม่กล้าฟันธงว่าแท้หรือไม่

จริง ๆ แล้วผมก็ไม่รู้วิธีเติมของปลอมเข้าขวดแท้แบบเทพ ๆ นะครับ รู้แต่แบบงัดอลูมิเนียมที่รัดปากขวด จากประสบการณ์ของผม พอจะจับได้ดังนี้ครับ

1. น้ำหอมปลอมจะมีความมันสูง ฉีดออกมา จะเคลือบผิวไว้ยังงั้นเลย ไม่หายไปไหน ชูแขนขึ้นส่องกับแสงดู จะเห็นความมันวาวชัดเจนมาก และจะเป็นแบบนี้ตลอดเวลาตราบเท่าที่ไม่ได้ล้างออก ซึ่งใช้แล้วคงไม่ให้ความรู้สึกที่ดีเท่าไหร่นะครับ แต่...ของแท้ที่มัน ๆ ก็มี หากทว่า...มันจะทิ้งความมันไม่นานนัก เต็มที่ก็ไม่เกิน 15-20 นาที แล้วจะซึมเข้าผิวหมด

2. ดูที่ปากขวดครับ โดยให้ดึงหัวสเปรย์ออก (หัวสเปรย์ที่มีรูพ่นน้ำหอมออกมา) จากนั้นจะเห็นแท่งพลาสติกสีขาวที่เป็นตัวเชื่อมกับสายสเปรย์ในขวด แล้วมองดูอลูมิเนียมรัดปากขวด สังเกตุให้ดีครับ ว่ามันเนียน หรือมีรอยงัด แล้วปิดลงไปใหม่ อาจจะมองยากในบางรุ่น แว่นขยายควรมีไว้ อิ ๆ

3. น้ำหอมแท้จากโรงงาน เขาไม่ค่อยเติมกันเต็มขวดนักนะครับ จะเหลือช่องอากาศไว้นิดนึง แต่น้ำหอมแอบเติม จะใจดี เพราะของมันถูก! เลยอัดให้เต็มขวดแทบไม่เห็นช่องอากาศเลยครับ จุดนี้สังเกตุให้ดี รวมถึงสีของน้ำหอมด้วย บางรุ่นอาจมีการเปลี่ยนสีจากโรงงาน หาข้อมูลก่อนนะครับ

4. น้ำหอมใหม่ ๆ เนี่ย จะมีฟองอากาศอยุ่ในสายสเปรย์ ในการใช้ครั้งแรก จะต้องฉีดหลายครั้งกว่าน้ำหอมจะออกมา ผมเคยซื้อน้ำหอม No Box จากต่างประเทศมา 5-6 ขวดแล้ว และมั่นใจ 100% ว่าแท้และใหม่ ไม่มีการใช้งานมาแล้ว ซึ่งพวกน้ำหอม No Box ในต่างประเทศเนี่ย เขาได้มาเพราะเกิด error ในโรงงานผลิตครับ เช่น อาจจะมีการทำทดลองออกมาเพื่อเอาไปแจก แล้วเหลือ หรือกล่องไม่พอ ซึ่งการผลิตสินค้าทุกชนิดจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่แล้วครับ

5. สภาพขวดควรจะอยุ่ในระดับดี ไม่ใช่ตัวหนังสือหลุดลอก ก้นขวดเป็นรอยมากมาย บ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างสมบุกสมบัน หากเป็นเช่นนั้น สันนิษฐานก่อนเลยว่าน้ำหอมในขวด ไม่แท้แน่ ๆ (คนขายขวดเปล่า คงไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้น่ะครับ 555) แล้วก็ดูการซึมด้วย หลาย ๆ ขวดจะปิดที่รัดฝาขวดกลับไปไม่ดี มันเลยไหลซึมออกมาครับ หรือตรงปาดขวดแน่น แต่ช่วงหัวสเปรย์มีปัญหา เพราะอาจถูกเสียบด้วยวัสดุบางอย่าง จึงก่อให้เกิดการรั่วซึม

6. เรื่องการเติมน้ำหอมลงไป ผมเคยได้ยินมาว่าเขามีเครื่องมือในการเติมลงไปโดยที่ไม่ต้องงัดปากขวด ดังนั้น ในบางกรณี ตัดข้อ 2 ออกได้ แล้วดูที่ตัวน้ำหอมอย่างเดียว ซึ่งคนที่เคยลองมาแล้ว หรือเคยใช้แล้ว น่าจะจับได้ ไม่มีพลาด

สิ่ง เหล่านี้มากพอแล้วครับที่จะบอกได้ว่าปลอมหรือไม่ ของดีและถูกมาก ๆ นี่ต้องระวังไว้ครับ โดยเฉพาะรุ่นดัง ๆ เนี่ย ของปลอมกลิ่นแทบไม่ต่างไปจากของจริงมากนัก แต่ถ้าดมเป็นจับได้แน่นอน เพราะการเปลี่ยนระดับน้ำหอมไม่มีนะครับ มีแค่ระดับเดียว ถ้ามันอ่อนลง ก็เป็นเพราะฉีดมาหลาย ช.ม. แล้ว อย่าเข้าใจว่ามันดำเนินมาถึง base note นะครับ 555 อ้อ...มีเห็นรุ่นที่ไม่ดังด้วย ยิ่งน่ากลัวครับ เพราะส่วนมากคงไม่เคยได้กลิ่นของแท้มาก่อน เห็นว่าเป็นยี่ห้อดัง ก็บิดกระจายกันซะ ผมเห็นหลาย ๆ รุ่นขายกันที่ 1,700-2,000 แล้วสงสารคนซื้อครับ เพราะราคานั้นซื้อของแท้นอกเคาน์เตอร์ได้สบาย ๆ 

ประวัติความเป็นมาของน้ำหอม


          เชื่อกันว่านํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังชโลมนํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอมกันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจากดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม้หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน"
          
           ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุงมรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดี ขึ้นไป

           ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสมที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนผสมใหม่ที่ใส่ลงไป ในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่น และฉีดตามพื้นและกำแพงบ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหอมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า

           ก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ ของนํ้าหอมแล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนาเทคนิคในการกลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ

           ด้วย พื้นที่ขนาดใหญ่ของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูกดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาลมาก จนถึงกับมีเรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานามที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances"

 

           นอก จากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบส่วนผสมตัวใหม่ในการทำนํ้าหอมอีกด้วย นั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่นชะมดนั่นเอง ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง

   ช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจากอาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริง ๆ ก็ในศตวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น

           จากนั้น นํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่นต่าง ๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

น้ำหอมสำหรับฤดูฝน

ฤดูฝน...ฤดูที่ชาวตะวันตกไม่รู้จัก แต่เป็นฤดูที่ประเทศเขตร้อนชื้นแนวเส้นศูนย์สูตรต้องเจอกันทุกปี
จึงไม่หน้าแปลกใจอะไรที่ไม่ค่อยมีน้ำหอมที่ทำออกมาเพื่อฤดูนี้โดยเฉพาะ .... และจัดเป็นฤดูปราบเซียนกันเลยทีเดียว

ลองดูสิครับ หากคุณใช้น้ำหอมไม่เป็น และยังต้องออกไปทำงานกลางแจ้งบ้าง ตากฝนบ้างถูกไอชื้นบ้าง กลิ่นอับ ผสมกลิ่นเหงื่อจะเป็นยังไง...

น้ำหอมที่ใช้ในหน้านี้ จึงควรที่จะเป็นกลิ่นหอมสดชื่น ออกแนวดอกไม้ขาวสำหรับผู้หญิง หรือออกแนวซิตรัส ผสมกลิ่นไอน้ำทะเล หรืออากาศเย็นๆ สำหรับผู้ชาย

ดูแล้วอาจไม่ค่อยต่างจากหน้าร้อนเท่าไร แต่จริงๆแล้วต่างกันนะครับ .... เอาล่ะ ไม่อธิบายกันมาก มาถึงตัวอย่างกันเลยดีกว่าครับ ^^
น้ำหอมสำหรับผู้ชาย
 
1. Jean Paul Gultier - fleur de Male - กลิ่นหอมล้ำสไตล์เจ้าชายวินเทจ โทนกลิ่นหมู่มวลดอกไม้ที่พบได้เพียงกลิ่นนี้กลิ่นเดียวในบรรดาน้ำหอมผู้ชาย ทั้งหมดจนปัจจุบัน ให้ความหอมสะอาด ฟุ้งกระจาย กลบกลิ่นอับได้เป็นอย่างดี


2. BVLGARI - BVL for Men - กลิ่นหอมสดชื่นคล้ายๆกับน้ำสไปรท์ในวูบแรก แล้วก็จะมีโทนกลิ่นหอมคล้ายๆดอกมะม่วงตามมา ให้ความสดชื่น เย็นสบาย แต่ยังไม่ทิ้งความสุขุม จึงสามารถใช้ได้ทั้งในช่วงเวลาทำงาน และช่วงเวลาลำลอง


3. CK - In2U for Him - น้ำหอมสำหรับชายลึกลับ ที่ชอบเดินโปรยเสน่ห์ในวันฝนพรำ ตัวกลิ่นที่หอมสดชื่นเพียงวูบเดียวจากผลไม้ตระกูลซิตรัส แล้วรีบปิดม่านด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนโทนคลาสสิค โทนกลิ่นผสมแบบนี้จะลอยไปได้ไกลในวันที่อากาศชื้นครับ ใช้แล้วชวนให้จินตนาการถึงหนุ่มเมืองผู้ดี


4. Dior Homme Sport - น้ำหอมที่ใช้ตัวโน๊ตเปลืองที่สุดกลิ่นหนึ่ง ท๊อปโน๊ตประกอบด้วย Basil และมินท์ ที่จะปรับเปลี่ยนกลิ่นอากาศรอบๆตัวให้หอมสดชื่นอย่างที่สุด ยามที่กลิ่นจางก็จะหอมอ่อนๆด้วยกลิ่นไม้ชื้นๆ ให้ความมีสไตล์ และความมีรสนิยมมากๆครับ


5.Clinique Happy for Men - กลิ่นนี้สงสัยจะใช้ได้ทุกฤดูสิน่า ... ชายหลายคนโหวตให้เป็นน้ำหอม Everyday use จากอานุภาพความสุขของมัน ใช้แล้วโลกสดใส กลิ่นโทนซตรัวเข้ากันได้ดีกับความร้อนและความชื้นครับ ใช้แล้วยิ้มอีกหน่อย รับรองว่าสาวๆติดชัวร์

 
น้ำหอมสำหรับผู้หญิง

1. Burberry Brit Sheer - กลิ่นหอมโทนชมพูเมทัลลิก หอมหวานตามผลไม้ฤดูฝน เช่นสับปะรด และลิ้นจี่ ให้ความฟุ้งกระจายไปได้ไกล ยิ่งมีกลิ่นอุ่นๆหวานๆ ของผิวสาวแล้ว กลิ่นนี้จะทำให้คุณแลดูเป็นคนน่ารัก น่ากอดทันทีครับ


2. Miss Dior - Blooming Bouquet - น้ำหอมสุดเซ็กซี่ที่จะเนรมิตคุณกลับไปสู่สาววัย 17 อีกครั้ง รักแรกที่ต้องเปียกฝนร่วมกับชายหนุ่ม คงเป็นกลิ่นที่หอมหวานคล้ายหมู่มวลดอกไม้ชมพู ยามใดที่หัวใจเต้น มันก็จะส่งกลิ่นให้อัดกระแทกใจออกไปเป็นจังหวะ 


3. Gucci-Envy Me - กลิ่นหอมที่แน่นอนแล้วว่าขึ้นทำเนียบน้ำหอมตัวแทนผู้หญิง ความละมุน อบอุ่น หอมหวาน เป็นตัวแทนของผู้หญิงได้ทุกๆแบบ ในวันที่อากาศชื้นๆ กลิ่นหอมหวานเหล่านี้จะลอยไปกับลม ราวกับมีทุ่งดอกไม้ชมพูอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบกลิ่นโทนนี้ครับ มันทำให้รู้สึกว่าอยากจะไปปกป้อง


4.Clinique Happy Heart - เปลี่ยนโทนมาเริ่มต้นด้วยความสดชื่นดีกว่า กลิ่นนี้ทำให้คุณ(และคนอื่น) รู้สึกถึงผ้าใหม่ๆ แสงอาทิตย์อุ่นๆ และความสดชื่นของรุ้งกินน้ำ ให้ความหอมสดชื่นสบายๆ สะอาดได้ทั้งวัน


5. D&G The One - น้ำหอมสีอำพันที่ใช้โน๊ตที่ไม่ค่อยพบในน้ำหอมผู้หญิงทั่วไปอันได้แก่เครื่อง เทศต่างๆ ให้กลิ่นหอมที่เสพติดได้ คล้ายๆกับกลิ่นดอกกระดังงา ผู้ใช้ต้องมีความเซ็กซี่ในตัวสูง ถึงจะเหมาะแก่การใช้งาน เมื่อใช้ในสภาพเส้นศุนย์สูตรแบบบ้านเรา จะทำให้คุณดูเซ็กซี่ เร่าร้อน และอันตรายเลยทีเดียว

B&C Perfumes Academy