Social Icons

facebookgoogle pluslinkedinrss feedemail
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำหอม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำหอม แสดงบทความทั้งหมด

B&C DUPE REVIEW น้ำหอมตัวไหนใช้แทนกันได้บ้าง?? - Issey Miyaké L'Eau d'Issey EDT




กลับมาพบกันอีกครั้งกับ DUPE REVIEW น้ำหอมที่กลิ่นคล้ายกันจนสามารถใช้แทนกันได้ ด้วยการคัดเลือกและหาข้อมูล จนวันนี้ก็มาถึงคิวของน้ำหอมยอดนิยมอีกกลิ่นของสาวไทย นั่นคือ


B&C DUPE REVIEW น้ำหอมตัวไหนใช้แทนกันได้บ้าง?? - CHANEL COCO MADEMOISELLE

กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับการแนะนำน้ำหอมที่สามารถใช้แทนกันได้ รีวิวในครั้งนี้ก็มาถึงคิวของน้ำหอมที่ติดอันดับยอดนิยมเป็นอันดับต้นๆ ที่ครองใจคุณสาวๆค่อนโลก  นั่นก็คือ 

รีวิวน้ำหอม SIAM 1928 - น้ำปรุงสยาม กลิ่นจรุงจิต หอมจรุงใจ



สวัสดีครับ วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีหลังจากที่ห่างหายไปนานกับรีวิว B&C COSMATE ได้พบกับน้ำหอมแบรนด์ไทยจ๋า นามว่า SIAM 1928 หรือ เรียกแบบไทยๆว่า สยาม 1928 (หากนับเป็น พ.ศ. ก็ย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2471 เป็นเวลากว่า 91 ปีแล้ว) ก่อนเข้าสู่รีวิวเราไปอ่านประวัติของแบรนด์ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าผลิตภัณฑ์กันเลยครับบ

รีวิวน้ำหอม Chloé – L’EAU DE Chloé



[::REVIEW::]
Chloé – L’EAU DE Chloé
Perfumer : Michel Almairac
Released Year : 2012
.
L’EAU DE Chloé นับเป็น flanker รุ่นที่ 5 ของตระกูล Signature อันแสนโด่งดังประจำเฮาส์ Chloé ให้กลิ่นกุหลาบที่หรูหราไม่หนีห่างจากรุ่น EDP ตัวต้นแบบมากนัก หากแต่พ่วงมาด้วยความสดชื่นในโทนสีเขียวที่ได้จากผิวมะกรูด และติดโทน Chypre มีระดับจาก Patchouli
.
L’EAU DE Chloé จัดเป็นน้ำหอมในกลุ่ม Chypre – Floral ที่ยืนพื้นด้วยกลิ่นของดอกกุหลาบใสๆคมๆ เคล้าด้วยผิวมะกรูดที่แสนโปร่งเบา มอบความสดชื่นแบบเข้าถึงธรรมชาติสุดๆ ได้กลิ่นทีไรก็พาลให้จินตนาการถึงทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ใบไม้ใบหญ้าเปียกน้ำฝน หรือความสุขในชนบทที่มีแต่ป่าเขาลำเนาไพร
.
นอกจากกุหลาบกับมะกรูดแล้ว ยังได้รับความหรูหราจาก Patchouli ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยมันเป็นตัวโยงกลิ่นเข้าหาโทน Chypre อันเป็นโทนกลิ่นของน้ำหอมหรูหรากลิ่นอื่นๆที่โด่งดังอีกมากมาย น้ำหอมในโทนกลุ่มนี้ที่คล้ายคลึงกับ L’EAU DE Chloé ก็มี DAHLIA NOIR L’EAU ของ GIVENCHY นั่นเอง
.
โน้ตหลักๆทั้ง 3 อย่าง จะอยู่ให้เราได้สัมผัสกันตลอดเวลาตั้งแต่วินาทีแรกจวบจนกระทั่งวินาทีที่กลิ่นจางหายไปในที่สุด กุหลาบเป็นตัวนำทัพ มาในโทนกลิ่นเขียวๆเย็นๆ มีทั้งความซ่าและและความคมซึ่งเสียดจมูกเช่นเดียวกับตัว EDP รุ่นต้นแบบ จะมีข้อแตกต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่มันเย็นสบายกว่ามากๆ แม้จะมีความแหลมคมในตัวแต่พอลองใช้จริงๆแล้วไม่อึดอัดหรือหนักจมูกเท่าไหร่เลย ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกปรอดโปร่ง โล่งสบายเหมือนเดินเล่นในทุ่งหญ้าอันไกลโพ้นในวันแดดจัดๆ อากาศแจ่มใส โดยตัวการของความคมคือ Patchouli, เติมความสดชื่นด้วยผลไม้จำพวก Citrus ซึ่งภาพโฆษณาสาวน้อยวัยแรกรุ่นสวมชุดสีขาวพริ้วๆวิ่งเล่นไปมาในทุ่งหญ้านั้นช่างเข้ากันกับกลิ่นของน้ำหอมขวดนี้ซะเหลือเกิน
.
มาพูดถึงด้านความทนและการกระจายตัวกันบ้าง ขึ้นชื่อด้วยคำว่า L’EAU ครั้งแรกก็คิดว่าจะต้องกลิ่นอ่อนบาง อยู่ซัก 4 ชั่วโมงแบบติดผิวเพียวๆแล้วจาง หายไป แต่เปล่าเลย L’EAU DE Chloé กลับติดทนนานมากๆ ต้องเรียกว่าทนไม่แพ้รุ่น EDP ตัวดั้งเดิมเลยแม้แต่นิด แถมการกระจายตัวยังทำได้ดีจนน่าประทับใจเช่นกัน จริงๆนอกจาก Chloé INTENSE โบว์ดำที่เบิร์ดชอบมากที่สุดแล้ว อีกตัวหนึ่งที่ชอบรองลงมาก็คือ L’EAU โบว์เขียวนี่ล่ะ ใครชอบกลิ่นหอมกุหลาบสไตล์หรู แต่แฝงไปด้วยความเป็นธรรมชาติและอ่อนเยาว์ L’EAU DE Chloé ก็เป็นอีกกลิ่นที่น่าสนใจไม่น้อย
.
เนื่องจากน้ำหอมกลิ่นนี้ถูกวางธีมไว้สำหรับฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิเป็นหลัก ดังนั้นสำหรับเมืองร้อนอย่างประเทศไทยแล้วเราสามารถใช้ได้ตลอดทั้งปีไม่ว่าจะอากาศร้อน ฝนตก หรือฤดูหนาวก็ตาม ใส่ในโอกาสสบายๆก็เหมาะ หรือใส่เรียน ใส่ทำงานก็ได้ทั้งนั้น จริงๆนี่ก็เป็นอีกกลิ่นนึงที่เบิร์ดมองว่าผู้ชายใช้ได้ เนื่องจากมันไม่หวานสไตล์ผู้หญิงจ๋าเหมือนอย่าง ROSE DE Chloé แถมกลิ่นยังสดชื่นมากๆอีกด้วย ดังนั้นหนุ่มๆถ้าชอบกลิ่นนี้ใช้ได้เลย

รีวิวน้ำหอม - Chloé EAU DE PARFUM INTENSE


[::REVIEW::]
Chloé – Chloé EAU DE PARFUM INTENSE
Perfumer : Michel Almairac, Amandine Marie, Robertet
Released Year : 2010
.
Chloé INTENSE มาในแพกเกจน้ำหอมสีเหลืองเข้มและโบว์สีเทาแก่เพื่อสื่อถึงความเข้มข้นที่ถูก อัดแน่นเพิ่มขึ้นจากรุ่น EDP อีกระดับ จริงๆรุ่นนี้เปรียบเสมือนเป็น flanker รุ่นพี่สาวของ Chloe EDP เนื่องจากให้ความรู้สึกโตเป็นผู้ใหญ่และเป็นทางการขึ้น โดยการนำโทนกลิ่น Oriental, Spicy และ Woody เข้ามาผสมกับดอกกุหลาบอันเป็นโน้ต Signature
.
โดยส่วนตัว Chloé INTENSE เป็นรุ่นที่เบิร์ดชอบมากที่สุดในไลน์ เหตุผลคือเบิร์ดเคยมีโอกาสใช้รุ่น EDP มาระยะหนึ่ง พบว่าตัวเองรู้สึกรำคาญและอึดอัดกับความคมเสียดจมูกหากได้กลิ่นจากผิวตัวเอง เป็นเวลานานๆ พอได้ลองรุ่น INTENSE ที่นุ่มนวลละมุนจมูกกว่าเก่าก็รู้สึกถึงความต่างของเนื้อกลิ่น(ซึ่งชอบ มากกว่าเดิม) ความคมจากกุหลาบนั้นถูกกลบด้วยโทนกลิ่นนุ่มๆจากถั่ว Tonka Bean และไม้หอม Sandalwood
.
เช่นเดียวกับโบว์ครีม, Chloé INTENSE ยืนพื้นด้วยกลิ่นดอกกุหลาบคมๆหรูๆ หากทว่าเป็นกุหลาบที่ถูกทำให้ dark และมีอายุด้วยโทน Oriental จากโน้ตกลุ่มไม้หอมและเครื่องเทศ และแม้รุ่นนี้จะปรากฏโน้ตเพียง 4 อย่างดังภาพ แต่จริงๆแล้วเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นซับซ้อนมากพอสมควร ให้ความรู้สึกถึงผู้หญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำ กระฉับกระเฉง มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่ภายใต้ภาพหญิงแกร่งคนนี้ลึกๆแล้วกลับซ่อนเร้นด้วยความอ่อนหวานและเซ็กซี่ แบบมีระดับ ชวนให้จินตนาการถึงสาวสวย ตาคม สวมชุดลูกไม้สีดำ ยืนกางร่มสีดำอยู่กลางฝน (หลอนดีมะ 5555)
.
ห้อยท้ายชื่อด้วยคำว่า INTENSE ดังนั้นแน่นอนว่านอกจากกลิ่นจะเข้มข้นขึ้นแล้ว ความทนและการกระจายต้องเพิ่มมากขึ้นด้วย แต่โดยส่วนตัวจากที่ได้ลองฉีดบนผิวมานับครั้งไม่ถ้วน Chloé INTENSE ดูไม่ค่อยเวิร์คบนผิวเบิร์ดเท่าไหร่นะ รู้สึกการกระจายตัวยังแพ้ EDP แต่ความทนพอๆกัน (ถึงยังไงก็แล้วแต่ สุดท้ายก็ยังรัก INTENSE มากกว่าอยู่ดี 555)
.
สามารถใช้ได้ทั้งอากาศร้อนและเย็น ทั้งกลางวันและกลางคืน เนื่องจาก Coty ตั้งใจเบลนกลิ่นนี้ให้สามารถใช้ได้ทุกสภาพอากาศตลอดปีอยู่แล้ว แต่โอกาสที่เหมาะก็ควรจะดูทางการซักนิดนึง ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันแนะนำเป็นโบว์สีอื่นๆจะดูชิวกว่า เช่น ROSE DE Chloé หรือ L’EAU DE Chloé เป็นต้น
.
ใครชอบ Chloé โบว์ครีม แต่รู้สึกกลิ่นชนกับผู้คนมากมาย ต้องการความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลองเลือกใช้รุ่น INTENSE ได้ แม้จะบอกว่าเหมาะกับงานทางการ แต่ถ้าชีวิตประจำวันคุณทำงาน เข้าประชุม หรือพบปะธุรกิจเป็นปกติทุกๆวัน สามารถใช้ได้ครับ ยิ่งตำแหน่งใหญ่ๆอย่างหัวหน้างานยิ่งเหมาะเพราะสามารถเพิ่มภูมิฐานความน่า เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ลองคิดภาพดู หัวหน้าใช้ Chloé INTENSE มีลูกน้องใช้ Chloé EDP ส่วนนักศึกษาฝึกงานใช้ Chloé โบว์ขาว เขียว ชมพู เวลาคุยงานกันคงน่ารักดีที่ทุกคนในแผนกใช้น้ำหอมตระกูลเดียวกันหมด 555

รีวิวน้ำหอม - Chloé EAU DE TOILETTE


[::REVIEW::]
Chloé – Chloé EAU DE TOILETTE
Perfumer : Amandine Marie, Michel Almairac, Robertet
Released Year : 2009
.
จริงๆแล้ว Chloé EDT ตัวนี้ก็ไม่ต่างจาก EDP ตัวดั้งเดิมมากเท่าไหร่นัก 80% ยังคงเป็นกลิ่นกุหลาบคล้ายๆตัวเดิม ทว่ามันถูกปรับให้บางเบาลงและสดชื่นขึ้นโดยการลดทอนความรู้สึกหรูหราลง ประมาณหนึ่ง และเพิ่มเข้ามาด้วยโทน airy ใสๆคล้ายอากาศที่บางเบา และโทน powdery ที่นุ่มนวลชวนนึกถึงปุยเมฆสีขาวสะอาดตา
.
Chloé EDT เป็นน้ำหอมแนว Floral ที่ดำเนินกลิ่นด้วยโครงสร้างคล้ายคลึงกับตัว EDP รุ่นแม่แบบ คือ ยืนพื้นด้วยดอกกุหลาบคมๆหรูๆ ต่างที่รุ่นนี้จะคมน้อยกว่าเนื่องจากได้ไอริสเข้ามาช่วยเพิ่มโทนกลิ่น powdery ให้นุ่มนวลมากขึ้น ใครที่ใส่รุ่น EDP แล้วอึดอัด แสบจมูก หรือรำคาญกลิ่นแหลมๆทิ่มแทงจมูก ลองดูรุ่น EDT ได้ ใส่แล้วน่าจะสบายใจขึ้นในระดับหนึ่ง
.
โน้ตอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับ Chloé EDT ก็เห็นจะเป็นแตงโมที่ทำหน้าที่มอบความรู้สึกสดชื่นฉ่ำๆแทนลิ้นจี่ในรุ่นเดิม แตงโมคือตัวการสำหรับโทน airy มอบความรู้สึกสดชื่นแบบสะอาด กึ่ง watery นิดๆ ซึ่งมันช่วยลดอายุของกลิ่นลงได้ประมาณหนึ่ง ทำให้รุ่นนี้ดูอ่อนเยาว์ลง
.
Top Notes จับกลิ่นดอกกุหลาบได้ในทันที มาแบบคมและใสสว่าง ชวนนึกถึงกุหลาบโทนสีขาวสะอาดท่ามกลางอากาศเย็นๆโปร่งๆราวกับกุหลาบขาวที่ ลอยอยู่บนท้องฟ้า กลิ่นคมจากกุหลาบยังคงบาดจมูกอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ถ้าหากเทียบกับรุ่น EDP ถือว่านุ่มนวลกว่าพอสมควร สาเหตุก็น่าจะเพราะได้โทน powdery จากไอริสเข้ามาช่วยคุมโทนให้อ่อนนุ่ม ละมุนละไมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จับกลิ่นแตงโมได้แบบจางๆอีกด้วย ซึ่งมอบความ airy คล้ายอากาศสดชื่นยามเช้าในช่วงเปิดได้ดี
.
กลิ่นแตงโมจะเริ่มเผยความ Synthetic ชัดขึ้นในช่วง Middle Notes จากแตงโมที่ให้กลิ่นหอมใสๆบางๆ กลับพุ่งทยานความ watery มากขึ้น โดยส่วนตัวคิดว่ามันแอบโยงหาโน้ตเมล่อนที่ให้กลิ่นโทน watery ใน Cool Water ได้ ต่างที่ของ Chloé เป็นกลิ่นแตงโม จะมีให้ตินิดหน่อยก็ตรงที่มีโทน Synthetic ที่ยังจับกลิ่นได้ (แต่ไม่มากเท่า Cool Water) นับว่าเป็นข้อดีที่สุคนธกรโฟกัสกลิ่นเด่นไปที่กุหลาบ ซึ่งกลบกลิ่นสังเคราะห์ของแตงโมได้มากทีเดียว โดยนอกจากกุหลาบแล้วตัวเด่นของช่วงนี้อีกอย่างคือฟรีเซียร์
.
กลิ่นแบบช่วงกลางจะอยู่ยาวไล่มายัน Drydown ที่เป็นช่วงของ Sandalwood แต่โดยส่วนตัวเบิร์ดจับกลิ่นไม่ได้ ยังคงเป็นกุหลาบสีขาวสะอาดๆ เพียงแค่กลิ่นอ่อนบางลงเรื่อยๆเท่านั้นเอง
.
แม้ Chloé รุ่นนี้จะมาในเบส EAU DE TOILETTE แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่มันติดทนค่อนข้างนาน และกระจายตัวได้เป็นรอง EDP เพียงแค่นิดเดียวจริงๆ ซึ่งเป็นทางเลือกแก่ลูกค้าอย่างเราๆว่าชอบแบบไหนมากกว่า ในคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน (แต่เท่าที่ดู คนส่วนมากก็น่าจะเลือก EDP โบว์ครีมกันมากกว่า เพราะเบิร์ดเองก็ไม่ชอบกลิ่น EDT)
.
เหมาะสำหรับใส่เรื่อยๆชิวๆในวันสบายๆ นักศึกษาใส่เรียนได้ หรือจะโดดเรียนไปดูหนัง เที่ยวห้าง เดินเล่น ฯลฯ อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่เป็นโอกาสที่ไม่ซีเรียสจนเกินไป Chloé EDT ก็เหมาะสมกับทุกๆอย่างครับ

รีวิวน้ำหอม Chloé – ROSES DE Chloé



[::REVIEW::]
Chloé – ROSES DE Chloé
Perfumers: Michel Almairac, Mylène Alran
Released Year : 2013
.
ROSES DE Chloé เป็น flanker กลิ่นใหม่ล่าสุดของไลน์ ตัวนี้(คาดว่า)น่าจะพัฒนามาจาก Chloé ROSE EDITION (Limited Edition ปี 2008) โดยเผยความอ่อนหวานและมีชีวิตชีวาของดอกกุหลาบให้โดดชัดมากขึ้น ออกแนวกุหลาบสดใส หวานนิดหน่อย มาสไตล์น้ำสีชมพูที่สาวไทยหลงรัก
.
ROSES DE Chloé เป็นน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหมือนรุ่น EDP และ INTENSE จัดอยู่ในกลุ่มน้ำหอมโทน Floral ที่เด่นด้วยดอกกุหลาบสดชื่น หวานใส น่ารักและอ่อนหวาน เหมือนพวงแก้มใสๆอมชมพูระเรื่อของเด็กผู้หญิงตัวน้อยในชุดเดรสพริ้วๆสีชมพู อ่อน
.
กลิ่นช่วงต้นนำโดยกุหลาบโทนสีชมพูกลีบฉ่ำน้ำกับลิ้นจี่ที่หวานอมเปรี้ยว กุหลาบที่ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุง ROSES DE Chloé คือ กุหลาบพันธุ์ Damascus Rose (หรือชื่อไทยคือกุหลาบมอญ) มีลักษณะดอกบานใหญ่ สีชมพูบานเย็น มาพร้อมกับมะกรูดที่มอบความสดชื่นแบบไม่คมหรือออกเชิง citrus ซะทีเดียว เหมือนมาเติมความสดให้กุหลาบซะมากกว่า
.
เมื่อดำเนินเข้าสู่ช่วงกลาง กุหลาบเฉิดฉายได้อย่างเต็มที่ พร้อมด้วยโทน Floral ใสๆที่รองพื้นบางๆ กลิ่นจะออกทางกุหลาบเพียวๆซะเป็นส่วนมาก สไตล์จะคล้ายๆกับ Paul Smith Rose, Stella ของ Stella McCartney หรือ Moroccan Rose จาก The Body Shop ต่างที่ Chloé มีความ girly มากกว่า คือดูอ่อนเยาว์แบบเด็กผู้หญิงใสๆไร้เดียงสา แต่ซ่อนความเซ็กซี่ไว้ลึกๆ อะไรทำนองนั้น
.
ช่วงปลายกลิ่นออกโทน Musky กุหลาบจืดจางลง เหลือเพียงกุหลาบที่บางเบามากๆ ติดผิวอ่อนๆ ความทนทานอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป แต่ติดทนน้อยที่สุดในตระกูล การกระจายตัวก็พอไปได้ คือไม่กระจายพุ่งแรงหวือหวาอย่างรุ่นอื่นๆ น่าจะสร้างออร่าความอ่อนโยนและเซ็กซี่แบบใสๆให้กับผู้ใส่ได้ดีเลยล่ะ
.
จัดว่าเป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายมากๆ เพราะเจาะตลาด masstige market เต็มๆ เหมาะกับใช้ everyday use ใครมองหาน้ำหอมกลิ่นกุหลาบทันสมัย ลุคแบบผู้หญิงน่ารัก ผิวขาวๆใสๆ แต่งตัวหวานๆ เซ็กซี่นิดๆ ROSES DE Chloé เป็นอีกกลิ่นที่เหมาะมากๆ

รีวิว โลชั่นบำรุงผิว Peter Thomas Roth - Mega Rich


ชุดเซ็ทที่ทางเครือโรงแรม Hilton เลือกใช้ไว้บริการสำหรับลูกค้า VIP
วันนี้มาถึงคิวรีวิว โลชั่น บำรุงผิว จาก Peter Thomas Roth กันบ้างนะครับ อย่างที่แจ้งไว้เมื่อรีวิวที่แล้วว่า โลชั่นนี่ชอบเป็นพิเศษ เลยจะขอเขียนแยกออกมาอีกหนึ่งบทความนะครับ
สำหรับบทความที่แล้วท่านใดยังไม่ได้อ่านไปอ่านได้ที่นี่นะครับ 
>> รีวิวผลิตภัณฑ์ Peter Thomas Roth จากชุดกิฟท์เซ็ทของโรงแรม Hilton




โลชั่นบำรุงผิวกาย ตัวที่จะมารีวิววันนี้อยู่ในหมวดสินค้าในไลน์
MEGA-RICH™ BODY LOTION 


โดยไซส์ปกติของทางแบรนด์ที่ทำออกวางจำหน่าย
 คือขนาด 235 มิล ราคาอยู่ที่ 18 เหรียญสหรัฐ

ส่วนผสมในครีมมีดังนี้ครับ :

 WATER (AQUA), CETEARYL ALCOHOL, GLYCERIN, GLYCERYL STEARATE, CAPRYLIC/CAPRIC TRIGLYCERIDES, STEARIC ACID, ISOPROPYL MYRISTATE, CETEARYL ETHYLHEXANOATE, BUTYROSPERMUM PARKII (SHEA BUTTER), DIMETHICONE, PPG-3 MYRISTYL ETHER, POLYSORBATE 60, PEG-100 STEARATE, ASCORBIC ACID, PANTHENOL, TOCOPHERYL ACETATE, FRAGRANCE (PARFUM), CARBOMER, TRIETHANOLAMINE, BHT, PHENOXYETHANOL, TETRASODIUM EDTA, SODIUM DEHYDROACETATE, PINUS SYLVESTRIS CONE EXTRACT, CITRUS MEDICA LIMONUM (LEMON) FRUIT EXTRACT, ANTHEMIS NOBILIS (CHAMOMILE) FLOWER EXTRACT, HUMULUS LUPULUS (HOPS) EXTRACT, ROSMARINUS OFFICINALIS (ROSEMARY) LEAF EXTRACT, CITRONELLOL, HEXYL CINNAMAL, LIMONENE, LINALOOL, GERANIOL, HYDROXYCITRONELLAL.


โดยหลักๆเลยในไลน์ Mega-Rich ของแบรนด์นี้นั้นจะชูโรงในเรื่องของการปรับความสมดุลให้ผิวนะครับ ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นและแน่นอนว่านางเอกของไลน์นี้ก็ต้องเป็นวิตามินต่างๆ คือ Vitamins C, E, and Pro Vitamin B5ที่ผู้ผลิตอยากนำเสนอว่า จะช่วยให้ผิวของคุณนั้น นุ่มขึ้น ลื่นขึ้น และ ชุ่มชื่นขึ้นนั่นเองครับ และ ประโยชน์ของวิตามิน C คือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังและทำให้ผิวกระจ่างใสครับ วิตามิน E ก็ช่วยเรื่องลดความหยาบกร้านของผิว และ โปรวิตามิน บี 5 สามารถดูดซึมเข้าสู่เส้นผมและผิวหนังได้ มีความสำคัญมากสำหรับสุขภาพผม และผิวที่ดี ให้ความชุ่มชื้นผิวและผม ลดอาการอักเสบ/แพ้คัน ของผิวหนัง และหนังศรีษะได้ดีทีเดียวครับ

และทางผู้ผลิตยังได้มีการวิจัยและทดลองครีมกับผู้หญิง ในวัย 35-65 ปี 

เนื้อครีมไม่หนักมาก ซึมซาบไวไม่เหนียวเหนอะหนะ
ผู้เข้าร่วม ในการทดลอง ได้รับผลการวิจัยว่า
• 92 % เห็นว่าผิวของพวกเขา รู้สึกเรียบเนียนขึ้น
• 88 % เห็นว่าผิวของพวกเขา รู้สึกผิวสดชื่นขึ้น
• 88 % เห็นว่าผิวของพวกเขา รู้สึกเต่งตึง ขึ้น
• 88 % เห็นว่าผิวของพวกเขา รู้สึกผิวกระจ่างใสขึ้น
• 80 % เห็นว่าผิวของพวกเขาชุ่มชื่นเปล่งปลั่งขึ้น

 อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์หลักได้ที่นี่ครับ










 รีวิวและความชอบจากการใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง

อย่างที่ได้แจ้งไว้ตั้งแต่ต้นบทความนะครับว่า ประทับใจโลชั่นตัวนี้เป็นพิเศษ โดยผมจะขอแยกเป็นส่วนๆที่ชอบดังนี้นะครับ 

- กลิ่นหอมสะอาดสดชื่น ด้วยกลิ่นหอมจากสมุนไพรที่ไม่อ่อนและไม่ฉุนจนเกินไปครับ สามารถทาโลชั่นร่วมกับการฉีดน้ำหอมที่ใช้ปกติตามได้แล้วรู้สึกว่ากลิ่นน้ำหอมติดทนนานขึ้นและผิวชุ่มชื่นขึ้นครับ 

- เนื้อครีมซึมซาบไว ไม่เหนียวเหนอะ และไม่ทิ้งคราบขาวและคราบมันที่ผิวหนังครับ แต่ผิวชุ่มชื่นขึ้นและจุดสัมผัสที่แห้งกร้านนุ่มและลื่นขึ้นหลังจากที่ใช้ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ครับ ( ผมใช้วันละ 2 รอบหลังอาบน้ำเช้าและก่อนนอน)  

คุณภาพโดยรวมแล้วประทับใจอย่างมากครับ เปรียบเทียบกับ คุณภาพและราคาด้วยแล้ว ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำได้เรื่อยๆไปมีเปลี่ยนใจแน่นอนครับ

 

Bvlgari Le Gemme Collection

Bvlgari Le Gemme Collection เป็นน้ำหอมใหม่ซึ่งประกอบไปด้วยน้ำหอมที่น่าสะสม 6 แบบคือ
Ashlemah, Noorah, Amarena, Lilaia, Maravilla, Calaluna ทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องประดับเพชรพลอยและน้ำหอมแต่ละแบบก็มีการออกแบบดีไซน์ขวดน้ำหอมที่หรูหราเหมือนคนโธน้ำกรีกและโรมันโบราณ หลากสีสันแตกต่างกันไปแต่ละแบบ

วีดีโอแนะนำของ LE Gemme Collection

"นี่คือโปรเจคท์พิเศษที่จะเป็นตัวแทนของแบรนด์ในระยะยาว"

 Valeria Manini กรรมการผู้จัดการ Bulgari Parfums, ช่างจิลเวอลี่ชาวอิตาเลี่ยน, ผู้เป็นส่วนหนึ่งของ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton เธอเริ่มต้นทำงาน Le Gemme collection เมื่อ 3 ปีก่อน แนวคิดไอเดียจะเน้นที่อัญมณีโบราณ ที่ซึ่งหลายๆคนในวันนี้รวมทั้งผู้ที่รักในอัญมณีลืมมันไปแล้ว "มันก็เหมือนเส้นทางของชา, เส้นทางของผ้าไหมผ้าฝ้าย เราพัฒนาและสานต่อจากเส้นทางของอัญมณี สร้างสรรผลงานน้ำหอมให้เป็นตัวแทนของความคิดและอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับอัญมณแต่ละแบบ"
Valeria Manini ได้กล่าวไว้และกล่าวเพิ่มเติมว่า เราได้ทำการปรึกษากับผู้ชำนาญด้านเพชรพลอยและน้ำหอมในโครงการนี้อีกด้วย

        รายละเอียดของน้ำหอมแต่ละตัวในคอลเลคชั่นมีดังนี้

 Ashlemah ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัญมณีที่ชื่อว่า amethyst มันประกอบด้วยโน๊ตลาเวนเดอร์, ไวโอเล็ทและเฮลิโอโทรป
     
 Noorah ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก turquoise หลายๆท่านคงจะนึกหน้าตาของอัญมณีชิ้นนี้ออก มันเป็นหินสีฟ้าอมเขียวที่มีความเกี่ยวข้องเรื่องเครื่องรางค์ของขลัง น้ำหอมนี้ประกอบด้วยโน๊ต& galbanum, กระวาน, ดอกไอริส, กำยาน, ยาสูบ, โอ๊ค, oil, แพทชูลี่และวนิลลา

        Amarena เป็นน้ำหอมของตัวแทนอัญมณีที่ชื่อว่า tourmaline เป็นการผสมผสานเสน่ห์เย้ายวนของดอกซ่อนกลิ่นและกลิ่นแป้งของกุหลาบ

        Lilaia เป็นน้ำหอมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก peridot อัญมณีสีเขียวส่องประกาย ประกอบด้วยโน๊ต mastic, สะระแหน่, ส้มและmate

        Maravilla เป็นตัวแทนของอัญมณีที่ชื่อ citrine ให้กลิ่นแนว chypre เต็มไปด้วยกลิ่นซิตรัส, โน๊ตผลไม้อย่างพีช, มะลิ, แพทชูลี่และ acethyvenol

        Calaluna ตัวแทนของ Moonstone ประกอบด้วยไม้จันทน์หอม, กระวาน, เฮลิโอโทรป, แอมเบอร์และแพร

    น้ำหอมทั้ง 6 ตัวในคอลเล็คชั่น Bvlgari Le Gemme มีปริมาตรตั้งแต่ 30 ml. ถึง 350 ml. ราคาน้ำหอมในปริมาตร 100 ml. สนนราคาอยู่ที่ 280 ยูโร มันจะเริ่มต้นวางจำหน่ายก่อนในเอเชียและยุโรป ส่วนอเมริกาจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2558

รีวิวน้ำหอม CHANEL – CHANEL N°5 โดย หวานละมุน


CHANEL – CHANEL N°5
Perfumer : Ernest Beaux
.
CHANEL N°5 ถือเป็นน้ำหอมรุ่นคลาสสิคที่สร้างชื่อเสียงให้กับ CHANEL และโลกของวงการน้ำหอมเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าน้ำหอมกลิ่นนี้เป็นกลิ่นแรกของโลกที่เริ่มบุกเบิกการนำสาร Aldehyde เข้ามาเป็นส่วนผสมในการปรุงน้ำหอม โดยสุคนธกรที่อยู่เบื้องหลังตำนานความคลาสสิคนี้คือ Ernest Beaux
.
CHANEL N°5 วางขายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1921 โดยในสมัยนั้นมีวางขายด้วยกันทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ Eau de Parfum, Eau de Toilette และ Eau de Cologne ซึ่งว่ากันว่าสูตร Original แท้ๆนั้นมีส่วนผสมมากถึง 130 อย่างเลยทีเดียว สำหรับสูตรที่วางขายอยู่ ณ ปัจจุบัน เบิร์ดไม่แน่ใจว่ารีฟอร์มครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ (คาดว่าน่าจะปี 1986) ประวัติ+เรื่องราวอื่นๆเบิร์ดขอยังไม่พูดถึงเพราะมันค่อนข้างเยอะ เดี๋ยวจะยาว สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวของน้ำหอมอมตะกลิ่นนี้สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ จากเว็บไซต์หลายๆแห่งนะ
.
ดังที่ได้เกริ่นถึงโน้ต Aldehyde ไปในย่อหน้าแรก ขอขยายความซักนิด เจ้าโน้ตตัวนี้คือสารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาด้วยกระบวนการทางเคมี หากนำมาเป็นส่วนผสมในน้ำหอมกลิ่นใดจะทำให้กลิ่นของน้ำหอมนั้นๆมีความเก่าแก่ โบราณ ราวกับหีบสมบัติอายุนับพัน หนุ่มๆสาวๆสมัยใหม่ไม่น่าจะชอบโน้ตตัวนี้เท่าไหร่นัก เพราะมันให้อารมณ์เข้าถึงยากไปสักหน่อย (และบางคนก็ว่าเหม็นไปเลยก็มี) โน้ต Aldehyde ถือเป็นนางเอกของ CHANEL N°5 และปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้น้ำหอมกลิ่นนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น หากมีใครซักคนถามถึงน้ำหอมกลิ่นคลาสสิค อมตะ ไร้กาลเวลา CHANEL N°5 ก็มักจะเป็นคำตอบแรกที่ทุกคนนึกถึงเสมอ
.
CHANEL N°5 เป็นน้ำหอมแนว Floral – Aldehyde มีส่วนประกอบสำคัญคือสาร Aldehyde และโน้ตโทน Floral อันเป็น Signature รอง ได้แก่ กระดังงา, มะลิ, กุหลาบ และนีโรลี่ ผสมผสานเข้ากับดอกไอริส ให้กลิ่นอาย Powdery ที่นุ่มนวลฟุ้งเฟ้อ คล้ายกลิ่นแป้งเด็กสมัยโบราณ ให้ความรู้สึกอ่อนโยน สุภาพเชิงทางการ และในขณะเดียวกันก็เซ็กซี่เย้ายวนแบบผู้ใหญ่อีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใส่เพื่อพบปะทางธุระอะไรก็แล้วแต่ที่ดูเป็นทางการ ต้องการความเชื่อถือ มีภูมิฐาน ให้ภาพถึงผู้หญิงวัย 50 ปี แต่งกายด้วยชุดสุภาพสี Beige ถือกระเป๋า Hermes Kelly สีดำ สวมสร้อยไข่มุกจาก CHANEL รวบผมตึงเป๊ะ ทาลิปสติกสีแดงสด ฯลฯ อารมณ์คุณหญิงคุณนายหน่อยๆ น่าจะพอนึกภาพกันออกเนอะ 555
.
Top Notes พบกับส่วนผสมตระกูล Citrus ดังเช่น มะกรูด มะนาว และนีโรลี่ แต่ไม่ใช่ออกโทน Citrus จ๋าจนสดชื่น เปรี้ยว ใส เหมือนอย่าง Cologne หลายๆยี่ห้อ เนื่องจากโน้ต Aldehyde กับ Iris เข้ามาคุมโทนตั้งแต่ก้าวแรก ให้กลิ่นที่ออกแนวแป้งเด็ก(ที่ไม่เด็ก) Powdery ฟุ้งๆ นวลเนียน แน่นหน่อยๆ มีความหรูหราฟู่ฟ่าชัดเจน ให้ฟีลถึงความสุภาพ มีอำนาจที่น่าเกรงขาม มีเหตุมีผล และเซ็กซี่ในแบบผู้ใหญ่ บางคนบอกว่ากลิ่นนี้ป้ามากๆ อืม ก็ใช่ อันนี้ไม่เถียง 5555 (ใช้คำว่าคลาสสิคจะดูดีกว่าเนอะ 55555) หากคุณอายุยังไม่เข้าใกล้เลข 5 แล้วสนใจน้ำหอมกลิ่นนี้ แนะนำเป็น CHANEL N°5 รุ่น EAU PREMIERE จะโอเคกว่า เนื่องจากกลิ่นดูอ่อนเยาว์ลง ทันสมัยขึ้น และลดความทางการลงมานิดหน่อย
.
ช่วงกลางจับกลิ่น Floral ได้ชัด มีมะลิ กุหลาบ และกระดังงา รวมกับโทน Powdery จากไอริส และแน่นอน ถูกคุมโทนอยู่ภายใต้ Aldehyde กุหลาบพันธุ์ที่ใช้เป็นส่วนผสมแก่ CHANEL N°5 เขาแจ้งว่าเป็นกุหลาบ May Rose ซึ่งจะเก็บเกี่ยวได้เฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีเท่านั้น เมื่อโน้ต Floral ต่างๆเริ่มก้าวเข้ามาร่วมวง ความอ่อนโยนตามสัญชาตญาณผู้หญิงเริ่มเผยมากขึ้น มีความอ่อนหวาน นอบน้อม ผู้หญิงคนเดิมในชุดสีครีม กระเป๋าสีดำ สวมสร้อยไข่มุก เริ่มมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร ไม่ได้ดุหรือน่ากลัวอย่างที่แรกเห็น
.
Base Notes อบอุ่น เนียนนุ่ม ละมุนละไม กลิ่นแป้งเด็กสุภาพอ่อนโยนเคล้าตามมาด้วยโทน Woody นุ่มๆจาก Sandalwood และวานิลา ออกกลิ่นเชิงแมกไม้ที่หวานนิดหน่อย ควบคู่ไปกับ Floral และ Aldehyde ในสูตรดั้งเดิมเห็นว่ามีโน้ต Civet ประกอบด้วย แต่สูตรปัจจุบันนี้ไม่มี คาดว่าน่าจะเป็นการลดความเซ็กซี่รุนแรงจัดจ้านเชิง Animalic ลงไป เพราะ Civet นี่ก็คือกลิ่นที่สกัดมาจากสัตว์ดีๆนี่เอง (ไม่เคยลองสูตรเดิมมาก่อนก็เดาๆกันไป =0=)
.
จัดเป็นน้ำหอมกลิ่นหนึ่งที่กลิ่นแรง ฉุน เข้มข้น ติดทนอย่างมาก และกระจายตัวได้ดีมากๆเช่นกัน ใส่นิดเดียวกลิ่นก็ฟุ้งเวอร์แล้วล่ะ ใส่ทำงาน ออกงานทางการ งานสังคมกลางคืน หรือวันที่ต้องการความพิเศษ เหมาะมากที่สุด
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfu…/Chanel/Chanel-N-5-608.html

รีวิวน้ำหอม ELIE SAAB - ELIE SAAB LE PARFUM INTENSE

ELIE SAAB - ELIE SAAB LE PARFUM INTENSE

Fragrance Notes
Top Notes : Orange blossom
Heart Notes : Rose honey, Ylang-ylang
Base Notes : Patchouli, Amber

แน่นอนว่าห้อยท้ายด้วยคำว่า INTENSE แปลว่ากลิ่นต้องแรงเข้มขึ้นจากรุ่นต้นตำหรับอีกเท่าตัว ซึ่งในความเห็นของเราแล้ว ตัวนี้กลิ่นจัดได้ว่าหอมแรงจริงๆ (ตัวต้นตำหรับกลิ่นก็แรงชัดเจนอยู่แล้วนะ) พอเขาทำรุ่นเข้มข้นขึ้นมาก็แอบสะพรึงในตอนแรกเหมือนกัน 5555

LE PARFUM INTENSE นั้นเด่นด้วยอำพัน แพชุลี่ และน้ำผึ้ง กลิ่นยังคล้ายๆรุ่นเดิมแต่หวานแน่นขึ้นด้วยอำพันที่เสริมความ oriental หนักแน่นให้กับน้ำผึ้ง (ซึ่งหวานเยิ้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) กลิ่นที่ออกมาจึงหวานมาก กลิ่นแรงจนอาจจะอึดอัดไปสำหรับหลายๆคน ระดับความแรงพอๆกับ Guerlain Samsara เลยล่ะ กลิ่นลักษณะนี้จะเหมาะสำหรับใส่ในตอนกลางคืนหรือใส่ในฤดูหนาวจะเหมาะกว่า พูดถึงแล้วกลิ่นนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับสภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนแผดเผาตลอดทั้งปี ต่อให้เป็นฤดูหนาวเองก็คงจะร้อนไปหากจะใส่กลิ่นนี้ (แนะนำว่าหันไปเลือกรุ่น EDP กับ EDT)

LE PARFUM INTENSE ให้ภาพลักษณ์ของกลิ่นที่หรูหราจัดๆทั้งรูปลักษณ์ของขวดและเนื้อกลิ่น ซึ่งดูมีอายุกว่ารุ่นออริจินอล ตัวนี้ก็ยังมีโน้ต White Floral จากดอกส้มหลงเหลือไว้ให้สัมผัสกันเช่นเคย ผสานกับกลิ่นอายโทนมะลิหวานๆที่คล้ายกับถูกหมักอยู่ในโหลน้ำผึ้งหวานเข้ม ตัวนี้กลิ่นจะออกทางผู้ใหญ่หน่อยนะครับ เหมาะกับใส่ออกงานได้ ความทนไม่ต้องพูดถึง จากที่ลองเทสมา ทนมากกว่ารุ่น EDP ปกติเสียอีก และกระจายตัวได้แรงประหนึ่ง Dior - Poison แนะนำให้ลองสำหรับคนชอบน้ำหอมกลิ่นเข้มๆทนๆครับ ส่วนตัวชอบรุ่นปกติมากกว่าเพราะกลิ่นกำลังดี จะแรงก็ไม่แรงเกินไป ได้กลิ่นทีไรใจละลายตลอด เลิฟ เลิฟ >///<

http://www.fragrantica.com/perfume/Elie-Saab/Le-Parfum-Eau-de-Parfum-Intense-18517.htm

รีวิวน้ำหอม GIORGIO ARMANI – Si



GIORGIO ARMANI – Si

Fragrance Notes
Top Notes : Blackcurrant, Bergamot, Mandarin Orange
Middle Notes : Jasmine, Neroli, Rose
Base Notes : Vanilla, Patchouli, Amber, Woody Notes

Si นั้นเป็นน้ำหอมกลิ่นใหม่จาก GIORGIO ARMANI ที่พึ่งวางขายได้ไม่นานนี้เอง มาในรูปลักษณ์ที่หรูหราด้วยทรงขวดเรียบๆ เห็นขวดแล้วอดนึกไม่ได้ว่ากลิ่นนี้แอบหลงกลุ่มมาจากไลน์ niche ของ Armani อย่าง Armani Prive รึเปล่านะ ทำไมขวดดูก้ำๆกึ่งๆว่าเหมือน 555แถมยังได้นักแสดงสาวชาวออสเตรเลีย Cate Blanchett มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ด้วย

Si ปรุงโดย Christine Nagel ให้กลิ่นที่หวานแน่นสไตล์หรูหราไปกับวานิลาและแพทชุลี่(ใบพิมเสน) ส่วนตัวพอได้ลองครั้งแรกรู้สึกว่ากลิ่นมันชวนให้นึกถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ลูกเล็กๆสีแดงๆเกาะกลุ่มกันเป็นช่อบนต้นไม้ต้นใหญ่ มีรสเปรี้ยวอมหวานนิดๆ ปกคลุมด้วยหิมะเย็นจัดในช่วงฤดูหนาวของแถบยุโรป เป็นอิทธิพลมาจากโน้ตในช่วงแรกนั่นก็คือ Blackcurrant ที่ผสมผสานคลุกเคล้ากับ patchouli ซึ่งโดดออกมาเตะจมูกตั้งแต่แว้บแรกที่สัมผัส กลิ่นนั้นจึงออกทาง fruity หวานอมเปรี้ยวและเสียดจมูกหน่อยๆในตอนต้น

ช่วงกลางดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก ขอข้าม 555 Si เป็นน้ำหอมที่มีดีในช่วงเบส กลิ่นตอนต้นหอมยังไง กลิ่นเบสนั้นหอมกว่า แพทชุลี่ยังเป็นตัวเอกเช่นเคย ผสมผสานกับกลิ่นหวานๆจากวานิลลา ส่วนตัวเราคิดว่ากลิ่นออก Gourmand นิดหน่อยนะ มีส่วนคล้ายกับ Jimmy Choo EDP เล็กน้อย หรูหราพอกัน อบอุ่นพอประมาณ กลิ่นหรูดูมีระดับ เหมาะสำหรับใส่ในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง (เฮ้) ใครชอบกลิ่นหวานๆหรูๆ หรือมองหาน้ำหอมดีๆสักกลิ่นไว้ฉีดในช่วงหน้าหนาว แวะไปลอง Si ได้ที่เค้าเตอร์ GIORGIO ARMANI นะจ้ะ เผื่อจะชอบนะ กิกิ ^^

http://www.fragrantica.com/perfume/Giorgio-Armani/Si-18453.html

รีวิวน้ำหอม Dior – Miss Dior Eau DE Parfum



Dior – Miss Dior Eau DE Parfum
-
Fragrance Notes
Top Notes : Italian mandarin
Heart Notes : Arabian jasmine absolute
Base Notes : Indonesian patchouli, Musk
-
-
-
ไม่อยากจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับ Miss Dior เพราะมันยาวเหลือเกิน เดี๋ยวเปลี่ยนสูตร เปลี่ยนแพกเกจมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เอาเป็นว่ารุ่นที่รีวิวเป็น Edition ใหม่ล่าสุดของเบส EDP ซึ่ง reform ครั้งล่าสุดในปี 2012
-
Miss Dior เป็นน้ำหอมแนว Chypre – Floral หรูหรา จัดอยู่ในกลุ่มโทนเดียวกันกับน้ำหอมหรูในใจสาวๆดังชั่น CHANEL COCO MADEMOISELLE และ CHANCE EDP พูดแค่นี้ก็คงจะพอนึกกลิ่นกันออกแล้วใช่มั้ยว่ากลิ่นจะมาประมาณไหน ใช่เลย หรูหรา มีระดับ ทว่า Miss Dior จะดูน่ารัก ซุกซน อ่อนเยาว์เหมือนสาวน้อยวัยแรกรุ่น ปั่นจักรยานเข้าไปในสวนอันแสนร่มรื่น หิ้วตระกร้าสีขาวเต็มไปด้วยผลไม้สุกฉ่ำและมาการอง ปูเสื่อนั่งปิ๊กนิ๊กจัดปาร์ตี้น้ำชายามบ่ายในสวนผลไม้ ฯลฯ
-
-
โน้ตตัวเด่นๆของ Miss Dior ก็คงจะหนีไม่พ้น Patchouli หรือพิมเสนอันให้กลิ่นหรูหราบาดจมูก แพทชูลี่ที่นำมาเป็นส่วนผสมคือแพทชูลี่จากอินโดนีเซีย ผสมผสานกันกับส้ม Mandarin Orange จากอิตาลี ให้กลิ่นพิมเสนซ่าๆเจือกับกลิ่นส้มที่สดชื่น น่ารัก สาวๆวัยเลข 1 ปลายๆ ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วครับ

ช่วงกลางมีมะลิเป็นส่วนผสม แต่ทำได้แค่รองบางๆอยู่ด้านหลัง เพราะท้ายที่สุดส้มเขียวหวานกับพิมเสนก็โดดเด่นอยู่ดี ให้ความรู้สึกน่ารักปนเซ็กซี่ เย้ายวนแบบใสๆ ทอดยาวไปถึงเบสที่มีแพทชูลี่เด่นๆชัดๆ อบอุ่นหน่อยๆ และติดทนดีตามฉบับน้ำหอมเบส Eau de Parfum
-
-
-
สรุปน้า Miss Dior EDP เป็นน้ำหอม Chypre – Floral ให้กลิ่นแพทชูลี่หรูหรา เจือกับส้มเขียวหวานสดชื่นใสๆ ให้กลิ่นน่ารัก ซุกซน เหมือนสาววัยแรกรุ่นกำลังมีความรัก เหมาะกับผู้หญิงวัยเลข 1 ปลายๆ ขึ้นไป หากใครคิดว่า Miss Dior ราคาสูงไปหน่อย หันมาเล่นน้ำหอมระดับล่างอย่าง Soap&Glory กลิ่น Original Pink ก็ได้ กลิ่นคล้ายกันเต็มๆ แต่ก็อาจจะต้องแลกมาด้วยคุณภาพที่ไม่อาจเทียบเทียม Miss Dior ได้ แนะนำให้ใส่กลิ่นนี้ในที่อากาศเย็นๆซักนิด เช่นในห้องแอร์ หรือใส่ยามกลางคืน หากจะใส่ร้อนๆลองเป็นตัว EDT หรือ BLOOMING BOUQUET น่าจะโอเคกว่า

รีวิวน้ำหอม Dior – Dior Addict Eau De Toilette


Dior – Dior Addict Eau De Toilette
-
Fragrance Notes
Top Notes : Mandarin Orange
Middle Notes : Jasmine, Neroli
Base Notes : Vanilla, Sandalwood
-
-
-
ดังที่เคยพูดบ่อยๆว่า น้ำหอม Dior เป็นอะไรที่ขยันปรับสูตรและเปลี่ยนแพกเกจบ่อยจนตามไม่ทัน มารอบนี้ กลางปี 2014 ก็เปลี่ยนแพกเกจให้กับ Dior Addict EDP กับ Dior Addict Eau Fraiche อีกครั้ง พร้อมกับส่งน้ำหอมกลิ่นใหม่ในตระกูลออกมาอีกด้วย นั่นคือ Dior Addict EDT นั่นเอง รุ่นนี้พัฒนามาจาก Addict EDP ตัวดังที่ปรับให้กลิ่นบางเบาลง ใช้ง่ายขึ้น แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้คล้ายกับตัวเดิมเท่าไหร่นะ จะเป็นอย่างไรมาอ่านรีวิวกันได้ อีโมติคอน smile
-
-
จริงๆ Dior Addict EDT ขวดนี้กลิ่นเรียบง่ายและดูธรรมดาไปหน่อย เป็นกลิ่นแนวส้มๆที่ค่อนข้างเบสิค ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย หากดมเฉพาะตอนต้นแทบจะไม่พบส่วนเกี่ยวข้องกับ Addict EDP เลยเพราะกลิ่นหวานๆจากวานิลานั้นลดลงไปเยอะ ได้กลิ่นแต่ส้มใสๆ ต้องใช้เวลาอยู่กับนางนานหน่อยถึงจะพบกลิ่นหวานๆแน่นๆจากวานิลาที่เชื่อมโยงเข้าหาพี่สาว Addict EDP ได้บ้างนิดๆ หลักๆแล้วเจ้า EDT จะยืนพื้นด้วยส้ม มะลิ และวานิลา ให้ความรู้สึกเซ็กซี่อ่อนๆแฝงไปกับความสดใสร่าเริงแบบผู้หญิงๆ
-
-
Dior Addict EDT เป็นน้ำหอม Citrus – Floral เด่นที่กลิ่นส้ม Mandarin Orange กับมะลิ เปิดมาในแว้บแรกก็ได้กลิ่นส้มทันที สดชื่นเหลือเกิน ออกเปรี้ยวหน่อยแต่ไม่ถึงกับเปรี้ยวจี๊ดบาดจมูก อยากให้จินตนาการถึงตอนที่คุณกำลังกัดกินเนื้อส้มเขียวหวานชิ้นใหญ่ที่ฉ่ำแน่นไปด้วยน้ำส้มรสหวานอมเปรี้ยว มีชีวิตชีวา ให้อารมณ์สดชื่นถึงขีดสุดเหมือนดูโฆษณาน้ำส้มทางทีวีเลย ทั้งนี้ยังได้กลิ่นอาย Oriental แฝงอยู่จางๆ
-
ซักพักจะเริ่มฉายแวว White Floral จากมะลิกับนีโรลี่ ซ้อนไปกับส้มแมนดารินที่สดชื่นดังเดิม โดยรวมๆตอนแรกจะออกทางใสสว่างหน่อย แต่พอทิ้งไว้นานๆกลิ่นก็จะเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยมีกลิ่นหวาน Woody ค่อยๆแทรกขึ้นมาทีละน้อย
-
จนในที่สุด ช่วงเบสออกหวาน Woody อบอุ่นจากวานิลาและไม้หอม เจือไปกับกลิ่นส้มใสๆที่เริ่มจะอ่อนหวาน แน่นขึ้นมาอีกระดับ ซึ่งดูๆแล้วสามารถใช้ในฤดูหนาวบ้านเราได้อย่างเหมาะเจาะ หรือจะใช้ในฤดูร้อนก็ยังได้อยู่ เพราะกลิ่นโทน Citrus แรงพอตัว
-
-
หากคุณเป็นคนที่ชอบน้ำหอมกลิ่นส้มอย่าง BVLGARI Omnia INDIAN GARNET มันก็ไม่เสียหายถ้าคุณจะลอง Dior Addict EDT ด้วย ใน คหสต ของเรามันให้อารมณ์คล้ายๆกันนะ คือกลิ่นส้มสดชื่นติดหวานหน่อยๆ ไม่ได้หวานเจี๊ยบซะทีเดียว
-
-
-
สรุปละนะ Dior Addict EDT เป็นน้ำหอม Citrus – Floral ที่เด่นด้วยกลิ่นส้ม รองด้วยมะลิ ให้กลิ่นที่สดชื่น สดใส ทว่าแฝงความเซ็กซี่เล็กๆไว้กับวานิลาและไม้หอม เป็น flanker ที่ดูค่อนข้างจะห่างไกลจากรุ่นต้นตำหรับเหลือเกิน แต่ก็ยังพอโยงเข้าหากันได้บ้างนิดๆหน่อยๆ กลิ่นนี้เหมาะสำหรับใส่ในอากาศร้อนๆแบบประเทศไทยมาก เพราะหลักๆแล้วกลิ่นจะสดชื่นเปรี้ยวๆ และยังมีกลิ่นอบอุ่นแฝงอยู่ จะใช้ในฤดูร้อนก็ได้ ฤดูหนาวก็โอเค เหมาะสำหรับผู้หญิงในทุกๆวัย และใครที่ชอบกลิ่นส้มๆอยู่แล้วก็แนะนำให้ลองดูนะ แม้จะไม่ใช่กลิ่นที่ดูโดดเด่นอะไร แต่ก็เป็นน้ำหอมกลิ่นนึงที่ใช้ง่าย และใช้ได้แทบจะทุกโอกาส

รีวิวน้ำหอม Christian Dior – Dolce Vita

Christian Dior – Dolce Vita
-
Fragrance Notes
Top Notes : Magnolia, Lily-of-the-valley, Rose
Heart Notes : Apricot, Peach, Cinnamon
Base Notes : Heliotrope, Sandalwood, Vanilla
-
-
Dior ประเทศไทยพึ่งนำ Dolce Vita เข้ามาวางขายในปี 2014 นี่เองนะ มาพร้อมกับ Miss Dior EDT Originale จริงๆแล้วเจ้า Dolce Vita นี้เนี่ยเป็นน้ำหอมที่วางขายมานานมากแล้วในเมืองนอก (ตั้งแต่ปี 1994) เพียงแต่ประเทศไทยไม่นำเข้ามาขายเอง คนไทยเลยอาจจะไม่คุ้นเคยกับหน้าตานางเท่าไหร่นัก ตอนนี้ก็มีขายตามเค้าเตอร์แล้ว สามารถแวะไปเทสกลิ่นกันได้จ้า
-
Dolce Vita เป็นน้ำหอมอบอุ่น เหมาะกับวัยผู้ใหญ่ หากคุณอายุยังไม่แตะเลข 4 ขอแนะนำว่าอย่าพึ่งไปลองเลยนะ อาจจะยังไม่เหมาะ กลิ่นของนางค่อนข้างจะซับซ้อน มีมิติมากมาย หวานสมชื่อ (Dolce Vita แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ชีวิตที่แสนหวาน) โดยหวานในเชิง Spicy จากชินนาม่อนและวานิลา, Fruity จากพีชและแอปริคอต, Woody จากไม้หอม และติด Powdery คล้ายแป้งฟุ้งๆอบอวลอีกต่างหาก เป็นกลิ่นสำหรับผู้ใหญ่ที่จัดว่าเซ็กซี่มากพอสมควร
-
โน้ตในช่วงเปิดปรากฏดอกไม้ดังเช่น แมกโนเลีย, Lily of the Valley และกุหลาบ ดูจากโน้ตแล้วเหมือนจะออก Floral แต่เปล่าเลย น้ำหอมกลิ่นนี้ไม่มี Top Notes เพราะทันทีที่สเปรย์ออกมาจมูกก็แตะกับชินนาม่อน แอปริคอต และพีช (ซึ่งเป็นโน้ตจากช่วงกลางล้วนๆ) ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้ง Warm Spicy, Powdery, Woody, Fruity
-
เปิดมาเจอกับกลิ่นแป้งฟุ้งๆอบอวลก่อนเป็นอย่างแรก บาดจมูกเวอร์ มีชินนาม่อนโดดออกมา ตามด้วยผลไม้อย่างพีชกับแอปริคอต ออกกลิ่นแป้ง หวานอบอวลแก่ๆ ช่วงต้นนี่เบิร์ดมองว่ากลิ่นนางคล้ายกับ Tresor ของ Lancome น่าจะเป็นเพราะกลิ่นพีชและออกทางแป้งเหมือนกัน จะต่างที่ Tresor เซ็กซี่กว่าเพราะมีกุหลาบเด่น
-
กลิ่นกลางไม่ต่างจากช่วงแรกนัก แค่ซอฟลงหน่อยๆเท่านั้น ขออนุญาตผ่าน ไปเจอช่วงเบสเลยดีกว่า ช่วงเบสได้วานิลากับไม้จันทน์หอมเข้ามาเสริม ให้กลิ่น Woody เจือกับของเก่าที่ยังเหลือให้สัมผัสได้ คือ ชินนาม่อน และพีช เบิร์ดว่า Dolce Vita หอมในช่วงเบสมากกว่าช่วงต้นๆอีกนะ ไม่รู้สิ พอมีวานิลากับไม้หอมเข้ามาเสริมแล้วมันดูอบอุ่นนุ่มนวล ต่างจากช่วงแรกที่แสบจมูกเหลือเกิน กลิ่นฟุ้งและติดทนมาก ส่วนเบิร์ดชอบที่จะดมกลิ่นนี้แบบผ่านๆเป็นระยะๆ แต่ถ้าให้ใช้เองแล้วอยู่กับนางทั้งวัน บ๊ายบายนะ นอกจากจะเกินอายุไปเท่าตัวแล้วกลิ่นยังแสบจมูกเกิน 5555
-
สรุปคร่าวๆโดยรวม Dolce Vita เป็นน้ำหอมสำหรับผู้ใหญ่ที่ซับซ้อนและเข้าถึงยากหน่อย ให้กลิ่นหวานอบอุ่นในเชิง Warm Spicy ที่ออกโทนแป้งอวลๆฟุ้งๆ เหมาะแก่การใส่ในห้องแอร์หรือยามอากาศเย็นๆหน่อย ซึ่งไม่เหมาะกับประเทศไทยเท่าไหร่นัก ใส่ทำงานได้ ออกงานกลางคืนได้ ระดับความเซ็กซี่ เอาไป 10 เต็ม

รีวิวน้ำหอม DAVIDOFF – Cool Water NIGHT DIVE Women


DAVIDOFF – Cool Water NIGHT DIVE Women
Perfumer : Véronique Nyberg
-
Fragrance Notes
Top Notes : Italian mandarin, Ginger
Heart Notes : Hyacinth, Jasmine
Base Notes : Patchouli, Cedar, Amber
-
-
-
Cool Water NIGHT DIVE WOMEN ถูกส่งออกมาหลังจากที่ Davidoff ได้ปล่อย NIGHT DIVE ของผู้ชายออกมาก่อน ซึ่งทำได้ค่อนข้างดี ไม่แพ้ flanker รุ่น Limited Edition ตัวก่อนๆที่เคยส่งออกมา แต่สำหรับรุ่นของผู้หญิงนี้อาจจะดูแปลกไปนิด ดูหลุดคอนเซปยังไงก็ไม่รู้ =0= คอนเซปที่ถูกวางไว้ในตอนแรกคือเรื่องราวของการดำน้ำในมหาสมุทรยามค่ำคืน ซึ่ง(น่า)จะต้องมีกลิ่นที่หนักแน่น เย้ายวน เข้ากับบรรยากาศท้องทะเลที่มืดมิด พิศวง เต็มไปด้วยความเร้นลับชวนค้นหา แต่เนื่องจากว่ากลิ่นของ NIGHT DIVE รุ่นนี้กลับไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ มันออกทางสดชื่น และโทน Floral ค่อนข้างโดดชัด โดยตัวการหลักคือ Hyacinth กับมะลิ โน้ตอื่นๆยังคงความเรียบง่ายเหมือน รุ่นผู้ชาย ประกอบด้วยส้ม Italian Mandarin, ดอกมะลิ, Patchouli, และไม้ Cedar และที่ต้องบอกเลยคือ Cool Water Women Night Dive กับ Cool Water Women ตัวต้นตำหรับ กลิ่นไม่คล้ายกันนะจ๊ะ ^^
-
ช่วงเปิดค่อนข้างสดชื่นดีทีเดียว ล่ะ ออกทาง Sparkling สว่างไสว ระยิบระยับ พบกับส้ม Italian Mandarin นำมาเป็นอย่างแรก ให้โทน Citrus สดชื่น เย็นๆ หากแต่รองด้วย Patchouli ที่ให้โทน Chypre ตั้งแต่ต้น ซึ่งดีหน่อยตรงที่ Patchouli มาแบบเบาๆ สบายๆ ไม่หนักหน่วงจัดเต็มมากนัก เมื่อเจอกับกลิ่นส้มแล้วให้กลิ่น Citrus หรูหรา ซึ่งสดชื่น กลิ่น Chypre ปน Citrus แบบนี้ คุณผู้อ่านสามารถพบได้ใน Chanel Chance EDP และ EDT ซึ่งเป็นกลิ่นที่สะอาดและสดชื่นมากๆเช่นเดียวกัน (แต่ไม่ได้บอกว่ากลิ่นคล้ายกันนะ)
-
หลังจากนั้นเมื่อกลิ่นดำเนินเข้าสู่ตอนกลาง พบกับดอก Hyacinth ที่มอบความ Floral สดๆ เคล้าด้วยกลิ่นหอมละมุนจากดอกมะลิ อันเป็นตัวแทนของความ Feminine สื่อถึงภาพความเป็นผู้หญิงได้ดี และค่อยๆเบนเข้าสู่กลิ่น Woody หวานๆ
จากไม้ Cedar + Amber ที่เหมือนพยายามจะสื่อให้เห็นถึงภาพยามกลางคืนของมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ว่างเปล่า และบรรยากาศที่เย็นจัด แต่เอาจริงๆแล้วก็ไม่ได้ออกทางกลางคืนมากนักหรอก เพราะยังคงสดชื่นอยู่ดี เพียงแค่ว่าสดชื่นแบบไม่สุด ดูสดชื่นแต่หม่นๆมืดๆ อะไรทำนองนั้นล่ะเนาะ 5555
-
ความทนทานบนผิวให้เรตระดับปานกลาง แต่กระจายได้ไม่เยอะ เหมาะกับการใส่ในโอกาสสบายๆทั่วๆไป ไม่เน้นว่าต้องเป็นยามกลางคืนจ้า
-
-
-
http://www.fragrantica.com/perfume/Davidoff/Cool-Water-Night-Dive-Woman-25581.html

B&C Perfumes Academy