Social Icons

facebookgoogle pluslinkedinrss feedemail
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Bvlgari แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Bvlgari แสดงบทความทั้งหมด

Bvlgari Le Gemme Collection

Bvlgari Le Gemme Collection เป็นน้ำหอมใหม่ซึ่งประกอบไปด้วยน้ำหอมที่น่าสะสม 6 แบบคือ
Ashlemah, Noorah, Amarena, Lilaia, Maravilla, Calaluna ทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องประดับเพชรพลอยและน้ำหอมแต่ละแบบก็มีการออกแบบดีไซน์ขวดน้ำหอมที่หรูหราเหมือนคนโธน้ำกรีกและโรมันโบราณ หลากสีสันแตกต่างกันไปแต่ละแบบ

วีดีโอแนะนำของ LE Gemme Collection

"นี่คือโปรเจคท์พิเศษที่จะเป็นตัวแทนของแบรนด์ในระยะยาว"

 Valeria Manini กรรมการผู้จัดการ Bulgari Parfums, ช่างจิลเวอลี่ชาวอิตาเลี่ยน, ผู้เป็นส่วนหนึ่งของ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton เธอเริ่มต้นทำงาน Le Gemme collection เมื่อ 3 ปีก่อน แนวคิดไอเดียจะเน้นที่อัญมณีโบราณ ที่ซึ่งหลายๆคนในวันนี้รวมทั้งผู้ที่รักในอัญมณีลืมมันไปแล้ว "มันก็เหมือนเส้นทางของชา, เส้นทางของผ้าไหมผ้าฝ้าย เราพัฒนาและสานต่อจากเส้นทางของอัญมณี สร้างสรรผลงานน้ำหอมให้เป็นตัวแทนของความคิดและอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับอัญมณแต่ละแบบ"
Valeria Manini ได้กล่าวไว้และกล่าวเพิ่มเติมว่า เราได้ทำการปรึกษากับผู้ชำนาญด้านเพชรพลอยและน้ำหอมในโครงการนี้อีกด้วย

        รายละเอียดของน้ำหอมแต่ละตัวในคอลเลคชั่นมีดังนี้

 Ashlemah ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัญมณีที่ชื่อว่า amethyst มันประกอบด้วยโน๊ตลาเวนเดอร์, ไวโอเล็ทและเฮลิโอโทรป
     
 Noorah ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก turquoise หลายๆท่านคงจะนึกหน้าตาของอัญมณีชิ้นนี้ออก มันเป็นหินสีฟ้าอมเขียวที่มีความเกี่ยวข้องเรื่องเครื่องรางค์ของขลัง น้ำหอมนี้ประกอบด้วยโน๊ต& galbanum, กระวาน, ดอกไอริส, กำยาน, ยาสูบ, โอ๊ค, oil, แพทชูลี่และวนิลลา

        Amarena เป็นน้ำหอมของตัวแทนอัญมณีที่ชื่อว่า tourmaline เป็นการผสมผสานเสน่ห์เย้ายวนของดอกซ่อนกลิ่นและกลิ่นแป้งของกุหลาบ

        Lilaia เป็นน้ำหอมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก peridot อัญมณีสีเขียวส่องประกาย ประกอบด้วยโน๊ต mastic, สะระแหน่, ส้มและmate

        Maravilla เป็นตัวแทนของอัญมณีที่ชื่อ citrine ให้กลิ่นแนว chypre เต็มไปด้วยกลิ่นซิตรัส, โน๊ตผลไม้อย่างพีช, มะลิ, แพทชูลี่และ acethyvenol

        Calaluna ตัวแทนของ Moonstone ประกอบด้วยไม้จันทน์หอม, กระวาน, เฮลิโอโทรป, แอมเบอร์และแพร

    น้ำหอมทั้ง 6 ตัวในคอลเล็คชั่น Bvlgari Le Gemme มีปริมาตรตั้งแต่ 30 ml. ถึง 350 ml. ราคาน้ำหอมในปริมาตร 100 ml. สนนราคาอยู่ที่ 280 ยูโร มันจะเริ่มต้นวางจำหน่ายก่อนในเอเชียและยุโรป ส่วนอเมริกาจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2558

รีวิวน้ำหอม BVLGARI Eau Parfumee au the vert

BVLGARI
Eau Parfumee au the vert
Perfumer : Jean-Claude Ellena
Released Year : 1992
.
นี่คือน้ำหอมกลิ่นแรกของแบรนด์ BVLGARI ซึ่งถูกรังสรรค์ออกมาในปี 1992 โดย Jean-Claude Ellena ก่อนจะมีรุ่น Extreme ตามออกมาในภายหลัง เกริ่นก่อนซักนิดว่าน้ำหอมจากบ้าน BVLGARI นี้ขึ้นชื่อเรื่องชาแทบจะทุกตัว เพราะแบรนด์นี้มีใบชาเป็นโน้ต Signature และเป็นแบรนด์แรกๆที่เริ่มบุกเบิกกลิ่นชาอีกด้วย สำหรับเจ้าขวดนี้คือชาเขียวนะ เป็นชาเขียวที่เบลนด์เข้ากับ Citrus รสเปรี้ยว ต้องบอกว่าสดชื่นมาก เฟรชสุดๆ หอมสะอาด เรียบง่ายแต่มีระดับจริงๆ
.
Au the vert จัดอยู่ในกลุ่ม Citrus – Aromatic ให้กลิ่นหอมสดชื่นของใบชาเขียวหรูๆ ผสมผสานกับพืชตระกูลซิตรัสโดยมีมะกรูดกับมะนาวเป็นตัวผสม กลิ่นนั้นสดชื่นสุดพลัง ราวกับตื่นนอนยามเช้าตรู่ เดินเข้าไปในไร่ชาบนภูเขา พบกับอากาศเย็นๆ กลิ่นใชชาหอมๆลอยเอื่อยๆมาตามลม ฯลฯ
.
กลิ่นเปิดเจอกับมะกรูด+มะนาวก่อนในอันดับแรก มาแบบเปรี้ยวพอสมควร เหมือนที่เราได้กลิ่นตอนบีบมะนาวจริงๆนั่นแหละ ทว่ากลิ่นเปรี้ยวๆสดชื่นนั้นยืนอยู่บนฐานของกลิ่นชาเขียวหรูๆ รายล้อมด้วยโทน Spicy อ่อนๆจากกระวาน ทำให้ช่วงเปิดนั้นสดชื่นมากทีเดียว ได้กลิ่นแล้วกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันทีทันใด
.
สำหรับช่วงกลางและเบสยังคงเด่นที่ใบชาเขียวผสมซิตรัสเช่นเดิม ออกกลิ่นเปรี้ยวคมใสๆหน่อย โดยในช่วงนี้มีมะลิแทรกเข้ามา เพิ่มความ Floral ละมุนๆให้เล็กน้อย จริงๆแล้วมะลินั้นไม่เด่นเท่าไหร่หรอกนะ เพราะน้ำหอมขวดนี้ยืนพื้นด้วยชากับมะกรูดมะนาวจริงๆ จะพูดว่าได้กลิ่นชัดๆกันอยู่ 3 อย่างตั้งแต่ต้นจนจบก็คงจะพูดได้
.
Au the vert เป็นน้ำหอมเบส Eau de Cologne ดังนั้นจึงไม่ควรหวังผลในเรื่องความทนทานเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากจะไม่ทนแล้วกลิ่นยังบางเบามากและแทบจะไม่กระจายตัว ใครไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแรงๆ และกำลังมองหาน้ำหอมที่การกระจายตัวอ่อนๆ ได้กลิ่นอ่อนๆติดผิว ลองได้เลย จริงๆตระกูลนี้มีกลิ่นชาอีก 3 กลิ่น คือ ชาเขียวรุ่น Extreme, ชาแดง และชาขาว ซึ่งเดี๋ยวจะรีวิวให้อ่านต่อไป
.
ตระกูล Eau Parfumee นี้เนี่ยเป็นน้ำหอม Unisex ทุกรุ่นนะ กลิ่นอยู่ระหว่างกลาง ผู้ชายใช้ได้ ผู้หญิงใช้ได้ จะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ใช้ได้เช่นกัน แนะนำ au the vert สำหรับผู้ที่กำลังต้องการน้ำหอมกลิ่นสดชื่นเย็นๆ เอาไว้ใช้ในฤดูร้อนหรือใช้ได้เรื่อยตลอดปี เพียงสเปรย์โคโลญจน์กลิ่นชาเขียวในตอนบ่ายๆ อาการง่วงนอน ขี้เกียจทำงานก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังพ่วงเข้ามาด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแบบมีชีวิตชีวาอีกด้วย
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Eau-Parfumee-au-The-Vert-144.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI Eau Parfumee au the vert Extreme



BVLGARI
Eau Parfumee au the vert Extreme
Perfumer : Jean-Claude Ellena
Released Year : 1996
.
ตัว Extreme ต่อยอดมาจาก au the vert ปี 1992 โดยรวมกลิ่นยังเหมือนรุ่นแรก แต่สิ่งที่ปรับปรุงใหม่คือ กลิ่นชาเขียวที่เข้มข้นขึ้น และเบสน้ำหอมที่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับ Eau de Toilette (รุ่นเดิมเป็น Eau de Cologne) นอกนั้นยังคงเอกลักษณ์เหมือนเดิม ยืนพื้นด้วยกลิ่นชาเขียวหรูๆและซิตรัสคมๆ หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่างรุ่นต้นตำหรับกับรุ่น Extreme คงต้องบอกว่ารุ่นต้นตำหรับให้กลิ่นใสบางๆเหมือนยอดใบชาสีเขียวอ่อน ในขณะที่รุ่น Extreme ออกเข้มข้นชัดเจนเหมือนใบชาดิบๆใบใหญ่สีเขียวแก่ ตัว Extreme นี่จะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และเอนเข้าหาทางฝั่งผู้ชายมากขึ้นอีกด้วย
.
กลิ่นเปิดสดชื่นจัดๆ ได้กลิ่นชาเขียวที่เข้มข้น กับมะกรูดที่เปรี้ยวคม ปนขมหน่อยๆ ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบเย็นยะเยือก เหมือนอากาศบนยอดเขาที่หนาวเหน็บยามเช้ามืด ชากับมะกรูดจะอยู่กับเราตั้งแต่ ต้นจนจบ ในขณะที่ช่วงกลางแทรกโทน White Floral เล็กน้อยจากมะลิ บนผิวเรากลิ่นติดทนประมาณ 6 ชั่วโมงได้ จัดว่าทนปานกลาง และกระจายตัวได้ในระยะที่ไม่ไกลมาก (แต่ถ้าเทียบกับตัวก่อนถือว่าทำได้ดีขึ้นเยอะ)
.
ปัจจุบันเจ้า au the vert Extreme ยังคงผลิตขายอยู่นะ แต่อาจจะหาซื้อยากซักนิด ตอนนี้ถูกเปลี่ยนแพกเกจไปขวดทรงสูงเหมือนรุ่น EDC แต่ที่เห็นในรูปนี้คือขวดแบบเก่า (ซึ่งโดยส่วนตัวชอบขวดแบบเก่ามากกว่า) แนะนำสำหรับทุกๆคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่สนใจน้ำหอมกลิ่นสดชื่นโปร่งๆ ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความมีระดับ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับวันอากาศร้อนๆ
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Bvlgari-Eau-Parfumee-au-The-Vert-Extreme-158.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI Eau Parfumee au the rouge


BVLGARI
Eau Parfumee au the rouge
Perfumer: Olivier Polge
Released Year : 2006
.
au the rouge คือกลิ่นชาแดง ออกมาหลังสุดในปี 2006 เป็นน้ำหอม Unisex เหมือนกับรุ่นอื่นๆในไลน์ทว่ากลิ่นนี้จะเอนเข้าทางน้ำหอมผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนิดหน่อย เพราะกลิ่นออกหวาน Woody และยังเป็นรุ่นที่ออกกลิ่นชาชัดสุดในไลน์อีกด้วย ใครชอบดื่มชาแดง ชาผลไม้ร้อนๆ ใส่น้ำตาลเยอะๆ ลองอ่านรีวิวนี้ดูได้
.
เช่นเดียวกับน้ำหอมกลิ่นอื่นๆ น้ำหอมขวดนี้นำทัพด้วยกลิ่นใบชา ชาที่ใช้ปรุงเป็นส่วนผสมในน้ำหอมขวดนี้คือชาแดงรอยบอส (Rooibos Tea) ซึ่งเป็นชาสกัดจากใบและกิ่งของต้น Aspalathus Linearis (มันคืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน 55555555) เมื่อนำมาชงแล้วจะได้ชาร้อนที่มีกลิ่นหวานละมุนนุ่มนวลจากผลไม้ บ้างก็ว่ากันว่าคล้ายกลิ่นถั่ว ซึ่งน้ำหอมชาแดงขวดนี้จำลองกลิ่นและรสชาติของชาแดงรอยบอสมานะจ๊ะ คือนอกจากเด่นที่ชาแล้วยังมีถั่วและผลไม้ประกอบอยู่ด้วยนั่นเอง
.
ชาแดง au the rouge เป็นน้ำหอมแนว Woody – Green ให้กลิ่นใบชาเด่น ซ้อนด้วยผล Fig (มะเดื่อ) และถั่ว Walnut มาแบบหวานอบอุ่น นุ่มละมุน ราวกับกลิ่นไอร้อนๆของชาที่พึ่งชงเสร็จหมาดๆ กำลังระอุโชยเข้ามาเตะจมูก กลิ่นนี้ออกทางหรูปนเซ็กซี่อีกด้วย เหมาะกับสุภาพสตรีสไตล์ BVLGARI มากๆ
.
กลิ่นเปิดมาแบบนุ่มนวลมาก นำโดยใบชา ตามด้วยมะกรูด ส้ม และพิงค์เป๊ปเปอร์ จับกลิ่นได้ทุกอย่างแต่มาอย่างละนิดอย่างละหน่อย และมะกรูดไม่ออกเปรี้ยวโดดเหมือนชาเขียวนะ เป็นเพราะโดนกลิ่นใบชากลบซะเกือบมิดเลย อีโมติคอน tongue
.
ช่วงกลางถือเป็นช่วงทองของ au the rouge เมื่อโทน fruity หวานๆเริ่มเผยออกมา มะเดื่อเจอกับใบชา ส่งกลิ่นหวานนุ่มเชิงผลไม้และเขียวแห้งๆจากชาแดงออกมาเป็นระยะๆ
.
เบสโน้ตเบนเข้าทาง Oriental Woody อบอุ่นหน่อยๆ และเริ่มหวานแน่นขึ้นมานิดๆ ช่วงนี้เด่นที่ถั่ว Walnut ที่เสริมกลิ่น nutty ให้กับใบชาและมะเดื่อ
.
น้ำหอมกลิ่นชาแดงขวดนี้ติดทนดีทีเดียวแม้จะมาในเบส Eau de Cologne ก็ตาม ส่วนนึงคิดว่าน่าจะเป็นเพราะกลิ่นแน่นด้วยเลยทำให้ติดทนมากขึ้น บนผิวเบิร์ดติดทนกว่าชาเขียว แต่ยังเป็นรองชาเขียว Extreme อยู่นิดหน่อย ส่วนตัวชาขาวคงไม่ต้องพุดถึง รายนั้นกลิ่นหายก่อนเพื่อนเลย 5555
.
เบิร์ดเคยอาบกลิ่นนี้ไปอยู่ครั้ง หนึ่ง(เน้นว่า อาบ) โดยฉีด 3 สเปรย์ที่แขนข้างซ้าย 3 สเปรย์ที่แขนข้างขวา ฉีดใส่เสื้อด้านหน้า ด้านหลัง (เอาเป็นว่าฉีดแน่นจริง เพราะตอนนั้นเข้าใจว่าเบส EDC ไม่น่าจะรุนแรงอะไร) แต่เปล่าเลย เพื่อนที่ยืนอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตรบอก ได้กลิ่นชัดมาก และผลคือวันนั้นเมาน้ำหอมตัวเองทั้งวัน 555555 แต่เพื่อนก็ชมนะว่าน้ำหอมกลิ่นนี้หอมดี ถ้าหาซื้อได้อีกเบิร์ดก็อยากจะมีเก็บไว้ซักขวดนะ อีโมติคอน tongue
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Eau-Parfumee-au-The-Rouge-146.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI Eau Parfumee au the blanc

BVLGARI
Eau Parfumee au the blanc
Perfumer : Jacques Cavallier-Belletrud
Released Year : 2003
.
au the blanc ตัวนี้เป็นกลิ่นชาขาว ให้กลิ่นสะอาดนุ่มๆของใบชาเจือกับกลิ่นหวานปนจืดหน่อยๆของเครื่องเทศ ซึ่งดมดูโดยรวมเป็นน้ำหอมที่กลิ่นสะอาดสะอ้านดีทีเดียว แอบคล้ายกับ Omnia Crystalline ในเวอร์ชั่นที่นุ่มกว่า เงียบกว่า และหวานกว่าเล็กน้อย
.
นอกจากจะมีโน้ตชาขาวเป็นตัวเด่นแล้ว au the blanc ยังได้พริกไทยกับมักส์มาช่วยเสริมโทน Spicy อ่อนๆควบคู่ไปด้วย แต่ไม่ใช่ออกกลิ่นเผ็ดร้อนเครื่องเทศนะ ออกทางหวานนุ่มสะอาดๆและใสบริสุทธิ์ เรียบง่าย ไม่หวือหวาโดดเด่นแต่แฝงความหรูหราในเนื้อกลิ่นไว้อย่างแนบเนียน
.
กลิ่นเปิดนำโดยชาขาว มาแบบสะอาด นุ่มนวลฟุ้งๆราวกับปุยเมฆสีขาวที่ตัดกับท้องฟ้าสีคราม ติดกลิ่นหวาน spicy อ่อนๆจากพริกไทย กลิ่นชวนให้นึกถึงสีขาวขุ่น ยกตัวอย่างเช่น ขนนกสีขาวที่ลอยไปตามแรงลม ให้อารมณ์ความรู้สึกที่อ่อนบาง พลิ้วไหว ล่องลอยไปไม่มีที่สิ้นสุด
.
ช่วงกลางและเบสกลิ่นค่อนข้างเงียบ โดยมีมักส์จืดๆเข้ามาแทรกในพริกไทยกับชา เหลือเพียงกลิ่นหวานสะอาดปนจืดจางๆติดผิว ต้องพูดจริงๆว่าในตระกูลชาสามสีทั้ง 4 รุ่น ชาขาวติดทนน้อยที่สุด อยู่บนผิวเบิร์ดเพียงแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆก็ลาจากกันไป ในขณะที่บนกระดาษติดกลิ่นจางๆอยู่ได้แค่ครึ่งวันเท่านั้น นอกจากจะติดทนน้อยที่สุดแล้วการกระจายยังน้อยที่สุดด้วยเช่นกัน ต้องดมติดประชิดผิวจึงจะพอจับกลิ่นอ่อนๆได้ แต่ในข้อเสียเล็กๆน้อยๆนี้ก็มีข้อดี คือกลิ่นที่หอมชนะเลิศมาก มองหาน้ำหอมกลิ่นเบาๆที่สะอาด นุ่มนวล บอบบาง เข้าทางชาขาวเลยจริงๆ
.
ชาขาวเป็นน้ำหอม Unisex ที่เป็นกลาง ใช้ได้ทั้งชายและหญิงโดยไม่เอนเอียงไปทางเพศใดเพศหนึ่ง เหมาะสำหรับใส่ในยามสบายๆ เช่น นั่งอ่านหนังสือบนเปล, จิบชายามบ่าย หรือฉีดก่อนนอนก็ช่วยให้หลับฝันดีได้ จะว่าไปชาขาวนี่เหมือนน้ำหอมเอนกประสงค์ที่สามารถใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เพราะเป็นกลิ่นที่ safe scent จริงๆ กลิ่นเบาบางมากๆ หากเด็กอนุบาลจะใช้เบิร์ดว่าก็ใช้ได้นะ แถมยังดูเหมาะกว่าที่จะใช้ Petits et Mamans ที่เป็นกลิ่นแป้งเด็กอีกต่างหาก
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Eau-Parfumee-au-The-Blanc-145.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – Rose Essentielle

BVLGARI – Rose Essentielle
Released Year : 2006
.
Rose Essentielle เป็น flanker ห่างๆที่ต่อยอดมาจาก BVLGARI pour Femme ตัวคลาสสิค ซึ่งให้กลิ่น powdery หวานฟุ้งอบอวล นุ่มนวลและสุภาพ ให้ภาพที่ดูหรูหราของผู้หญิงมีสกุลสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ทว่ากลิ่นของนางนั้นดูจะผู้ใหญ่ไปหน่อย Rose Essentielle จึงถูกส่งออกมาโดยปรับโทนกลิ่นให้มีความอ่อนเยาว์ลง แต่ไม่ทิ้งกลิ่นอายเชิงผู้ดีที่ BVLGARI pour Femme สร้างชื่อไว้เลยแม้แต่น้อย โดยกลิ่นของ Rose จะยังคงยืนพื้นด้วยกลิ่นโทน powdery ทว่าเน้นมาทางแป้งผสมกุหลาบมากขึ้น
.
Rose Essentielle เป็นน้ำหอมแนว Floral – Powdery ให้กลิ่นกุหลาบในโทนแป้งๆเป็นหลัก คล้ายกุหลาบสีชมพูอ่อนดอกใหญ่ กลีบบางและเนียนนุ่มเหมือนผ้าซาติน ที่กลีบส่งกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ แต่นุ่มลึก อ่อนโยน, พี่พิม(ชิฟฟ่อนคาปูชิโน่) ให้ภาพที่สื่อแทนกลิ่นนี้ว่า กลิ่นสวยราวกับเจ้าหญิง Grace Kelly แห่งโมนาโค คือมันใช่เลย กลิ่นกุหลาบผู้ดีแบบนี้ไม่มีสิ่งใดที่เหมาะสมพอที่จะเปรียบเท่ากับเจ้าหญิง Grace Kelly ได้อีกแล้ว นับว่าเป็นน้ำหอมอีกกลิ่นที่สวยสมราคา เลอค่าจริงๆ
.
กลิ่นเปิดพบกับกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์ซึ่งเบิร์ดก็แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอันไหน แต่จับกลิ่นกุหลาบได้ มาแบบนุ่มนวลละมุนละไมโทน Powdery ซึ่งได้จากไวโอเล็ต ผสมผสานกับผลแบลคเบอร์รี่ที่ให้ความหวานแบบผลไม้ ไม่ออกกลิ่นเปรี้ยวสไตล์เบอร์รี่นะ จะออกแนวนุ่มละมุน และเฟมินีนแบบสาวผู้ดี ดูบอบบางน่าทนุถนอม ทว่าแอบมีเซ็กซี่เล็กๆปนอยู่ด้วย
.
กลิ่นกลาง โน้ตจากตอนต้นทั้ง 3 อย่างยังคงเฉิดฉายเช่นดังเดิม กลิ่นนุ่มนวลไม่มีเปลี่ยน ข้อที่ชอบคือ น้ำหอมกลิ่นนี้กระจายกลิ่นในช่วงกลางได้ดีพอเหมาะ ไม่ออกฉุนรุนแรงแต่กลับมีออร่าในตัว
.
สำหรับช่วงเบสโน้ต ปิดท้ายด้วยกลิ่นหอมในเชิง Woody ไปกับ Sandalwood ให้กลิ่นหอมนุ่มนวลแบบไม้ๆ เมื่อเจือกับกลิ่นกุหลาบแป้งๆแล้วจะให้ภาพที่ดูคลาสสิคลงตัวมากยิ่งขึ้น ช่วงนี้ค่อนข้างติดทนดีทีเดียว กลิ่นไม่แรงจนเกินไปแต่จัดกว่ากลิ่นติดทนดีทีเดียวล่ะ
.
กลิ่นของ Rose Essentielle จะไม่ใช่กุหลาบแดงกลีบฉ่ำน้ำอย่าง Paul Smith Rose แต่จะให้ความรู้สึกสุภาพผู้ดี มีมารยาทและการวางตัวที่น่าชื่นชม น่าปกป้อง น่าทนุถนอม และเหมาะกับผู้หญิงในวัย 20 ปีขึ้นไป โดยส่วนตัวมองว่าสำหรับเมืองไทยควรใส่ในห้องแอร์หรือที่อากาศเย็นๆซักหน่อยน่าจะหอมกำลังดี เพราะกลิ่นนี้เบิร์ดเคยใส่ออกแดด พบว่ามันแอบหนักจมูกไปนิด ถ้าจะหารุ่นที่บางเบาลง Rose Essentielle มี flanker รุ่น EDT ด้วยนะ ถ้าอยากได้กลิ่นโรแมนติกแต่ต้องการความบางเบาลงอีกระดับลอง EDT ดูก็ได้
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Rose-Essentielle-665.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – BVLGARI POUR HOMME


BVLGARI – BVLGARI POUR HOMME
Perfumer : Jacques Cavallier-Belletrud
Released Year : 1996
.
BVLGARI POUR HOMME ออกปี 1996 ถือเป็นน้ำหอมสำหรับผู้ชายกลิ่นแรกที่ BVLGARI รังสรรค์ออกมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อวางขายเคียงคู่กับ BVLGARI pour Femme ที่ออกมาก่อนเพียง 1 ปีเท่านั้น กลิ่นของน้ำหอมรุ่นนี้สดชื่น สบายๆ หากแต่แกมความรู้สึกคลาสสิคเชิงทางการเอาไว้ข้างใน ให้ภาพลักษณ์หรูหราสไตล์ผู้ดี มีภูมิฐานน่าเคารพยกย่อง มาดนักธุรกิจใหญ่วัยกลางคน
.
BVLGARI POUR HOMME เด่นที่กลิ่นโปร่งสบายของใบชาอันเป็นโน้ต Signature ประจำค่าย หากทว่าไม่ใช่กลิ่นชาเพียวๆโดดๆเหมือนอย่างโคโลญจน์ตระกูล Eau Parfumee, ตัวนี้จะเป็นกลิ่นใบชาที่ถูกผสานเข้ากับโน้ตหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น มะกรูด หญ้าแฝก มัสก์ เครื่องเทศต่างๆ และสาร Aldehyde
.
ช่วงต้น นำด้วยกลิ่นสดชื่นแบบปรอดโปร่งของใบชาสะอาดๆที่ถูกจับผสมผสานเข้ากับมะกรูดและหญ้าแฝก ออกกลิ่นคล้ายใบชาแห้งๆ หากแต่สดชื่นและหรูหราไม่เป็นรองใคร สมทบด้วยโน้ต Aldehyde ที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความรู้สึกคลาสสิคเชิงทางการเข้าไปอีกหน่อย จะว่าไปน้ำหอมกลิ่นนี้เหมาะสำหรับชายวัยกลางคนขึ้นไปนะ ซึ่งวัยที่เบิร์ดคิดว่าเหมาะสมที่สุดน่าจะราวๆ 35 ปีเป็นอย่างต่ำ (ถ้าหากอ่อนกว่านั้นอาจจะลองมอง flanker รุ่น Extreme ดู น่าจะเข้ากับวัยมากกว่าเนื่องจากมีเกรฟฟรุ๊ตเข้ามาปรับให้กลิ่นดูอ่อนเยาว์ลง)
.
สำหรับช่วงกลาง พบกับโทน Spicy จางๆจากพริกไทย ผักชี และกระวาน ซึ่งดมแล้วยังได้กลิ่นใบชาแห้งๆติดจมูกอยู่ โดยตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไปกลิ่นจะเงียบลงค่อนข้างมาก สร้างออร่าภูมิฐานแบบไม่รุนแรงจนน่าเกลียด ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าหากกลิ่นน้ำหอมแรงไปมากกว่านี้ก็เกรงว่าจะดูสำอางเกินไปนิด คงไม่เหมาะแก่ลุคนักธุรกิจใหญ่ๆนัก
.
ในช่วงเบสโน้ต ออกกลิ่นเชิง Green – Musky ซึ่งนอกจากจะยังได้กลิ่นใบชาแล้ว หญ้าแฝกเองก็เข้ามาเติมความแห้งในเนื้อกลิ่นทวีคูณลงไปอีก พร้อมด้วยมัสก์อันเป็นหัวใจสำคัญของช่วงเบส
.
ความทนทานทำได้ค่อนข้างดี ติดทนประมาณ 7 ชั่วโมงบนผิว อาจนานกว่านั้นได้อีกหลายวันหากสเปรย์ลงบนเสื้อเชิ้ตหรือสูท แต่ก็ไม่ต้องซีเรียสไปหากผู้คนรอบข้างจะไม่ค่อยได้กลิ่นกันเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นน้ำหอม Skin Scent ค่อนข้างติดผิวมากกว่าที่จะกระจายตัวฟุ้งๆ
.
ใช้ได้ในทุกสภาพอากาศของประเทศไทย ตั้งแต่ร้อนอบอ้าวไล่ไปยันหนาวสุดขั้ว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใส่ทำงาน ออกงานสังคม งานทางการ พบปะธุรกิจ หรือเข้าประชุมสำคัญๆ ฯลฯ หากมีวันใดที่ต้องการลุคดูดีเป็นพิเศษ BVLGARI POUR HOMME สามารถช่วยเสริมบุคลิกที่น่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี แถมยังดูสง่าผ่าเผย มีออร่าความเป็นสุภาพบุรุษสูง และยิ่งถ้าหากว่าใส่สูทสีเทาแก่หรือสีน้ำตาลเข้มยิ่งเข้ากัน
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Bvlgari-Pour-Homme-143.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – BVLGARI POUR HOMME SOIR

BVLGARI – BVLGARI POUR HOMME SOIR
Released Year : 2006
.
Flanker รุ่น SOIR ถูกปรับโน้ตใหม่ให้เนื้อกลิ่นเหมาะสำหรับใส่ในยามเย็นหรือพลบค่ำตามชื่อที่เขาตั้ง (Soir = Evening) อาจจะกล่าวให้เข้าใจง่ายๆก็คือ รุ่นนี้เปรียบเสมือนเป็นเวอร์ชั่น Dark ของ BVLGARI POUR HOMME เนื้อกลิ่นหนักแน่นขึ้นประมาณหนึ่ง แต่ไม่หนักถึงขนาดจะเรียกว่าเป็นน้ำหอมกลางคืนได้อย่างเต็มตัว
.
รุ่นนี้ประกอบด้วยโน้ตเพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่ ใบชา, มะกรูด, อำพัน และต้นกก (Papyrus) โดยกลิ่นเด่นนั้นยังคงเป็นใบชาเช่นเคย สำหรับชาชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม ในรุ่นนี้คือชา Dajeeling Tea ให้ความรู้สึกหรูหรา มีคลาส ตามแบบฉบับ BVLGARI เขาเลย ให้กลิ่นสดชื่นปนอบอุ่น เซ็กซี่ เย้ายวน น่าเข้าใกล้ และกลิ่นติดหรูมีระดับ
.
กลิ่นเปิด สะอาดปนหรูคล้ายตัวเดิม นำด้วยชากับมะกรูด มอบความสดชื่นแต่ไม่ออกใสเนื่องจากถูกปกคลุมด้วยโทนนุ่มๆและหนักแน่น เนื้อกลิ่นมีความสมูธมากกว่าตัวเดิมและแรงกว่าอีกต่างหาก เบิร์ดว่าทั้งไลน์มีตัวนี้แหละที่ออกกลิ่น Spicy ชัดสุดโดยมาในช่วงกลาง เซ็กซี่เผ็ดร้อน อบอุ่นฟุ้งๆเจือไปกลิ่นชาแห้งๆ นอกจากนี้ยังรองด้วยอำพันที่ให้กลิ่นหนักแน่นในช่วงเบสด้วย ส่วนเจ้า Papyrus หรือต้นกกนั้นขอยังไม่พูดถึง เนื่องจากจับกลิ่นไม่ถูกเพราะไม่คุ้นเคยจริงๆ เกิดมาไม่เคยได้กลิ่นจริงๆ 5555
.
จัดว่าเป็นน้ำหอมที่ติดทนอีกก ลิ่นนึง ทนมากกว่ารุ่นดั้งเดิม แต่ไม่ทนเท่า EXTREME กระจายได้ดีพอๆกัน กลิ่นนี้ออกเซ็กซี่ เย้ายวนหน่อย แนะนำให้ใส่ในยามเย็นหรืองานกลางคืน จริงๆใช้กลางวันก็ได้นะเพราะมันก็ไม่ได้หนักจมูกเกินไป ใส่ทำงานในห้องแอร์ได้ ใส่เรียนก็ได้ หรือเหมาะสุดๆคือใส่ออกไปดินเนอร์ยามเย็นตามธีมซัวร์ๆที่เขาว่า ใครกำลังหากลิ่นโทนผู้ดีสไตล์ BVLGARI POUR HOMME ในเวอร์ชั่นเซ็กซี่หรูๆ ลองดูได้
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Bvlgari-Pour-Homme-Soir-770.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – OMNIA CRYSTALLINE

BVLGARI – OMNIA CRYSTALLINE
Perfumer : Alberto Morillas
Released Year : 2005
.
Flanker น้ำหอมไลน์ Omnia ทุกรุ่นจะมีคอนเซปคือการนำอัญมณีต่างๆมาเป็นแรงบันดาลใจในการปรุงน้ำหอม สำหรับ flanker รุ่นแรกอย่าง Omnia Crystalline ได้แรงบันดาลใจมาจากคริสตัล อัญมณีสีขาวใสสุกสว่างล้ำค่า สัมพันธ์ไปกับกลิ่นของน้ำหอมที่สดชื่น ขาวสะอาด ใสราวกับคริสตัลไม่มีผิด
.
Omnia Crystalline เป็นน้ำหอมที่เรียบง่ายแต่ออร่าจับพอตัว เพราะนอกจากกลิ่นจะใสสว่างแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยความเจิดจรัส แวววาวเป็นประกาย ประหนึ่งรองเท้าแก้วของซินเดอเรล ล่า (รองเท้าคริสตัลก็ได้ 5555) แนวกลิ่นแบบ Floral สะอาดๆ ซึ่งมีดอกบัวเป็นตัวเอก ออกทางสดชื่น เย็นสบาย ราวกับน้ำฝนเย็นๆที่ชโลมลงบนผิวที่ขาวเนียนของหญิงสาวอย่าง นุ่มนวลและบอบบาง ในบางมุมเรารู้สึกถึงชาขาว au the blanc ในเวอร์ชั่นที่สว่างกว่า ใสกว่า มีออร่าและความบริสุทธิ์ เหมือนน้ำแร่จากธรรมชาติ
.
เหมือนเดิม น้ำหอม BVLGARI มักจะต้องมีกลิ่นชาเป็นส่วนผสมเสมอ รุ่นนี้แม้จะไม่มีโน้ตชาปรากฏในพีระมิด แต่เราสามารถจับกลิ่นใบชาได้ตั้งแต่ต้น โดยมาเคียงคู่กับต้นไผ่ที่ให้ก ลิ่นเขียวๆ เปิดได้สดชื่นและคลีนมากๆ ใช้ง่ายสุดๆ สะอาดบางเบา ชวนให้นึกถึงสีขาวใส อะไรก็ได้ที่เป็นสีขาวใส แก้ว คริสตัล น้ำเปล่า เกล็ดหิมะ ฯลฯ
.
ช่วงกลางเผยกลิ่น Floral ตัวเอก ซึ่งคือดอกบัวที่แสนอ่อนโยน มาแบบอ่อนนุ่ม ละมุนละไม สดชื่นแบบไม่หวาน ในความเห็นเรากลิ่นนี้มัน Unisex ชัดๆ ถ้าจับเจ้า Crystalline เข้าคู่กับชาขาว au the blanc น่าจะเข้ากันไม่ใช่น้อย…
.
ช่วงเบสเบนเข้ามาทาง Woody นิดหน่อย จากโน้ตของไม้ Giaic Wood กับ Balsa Wood แต่โดยรวมยังคงกลิ่นสไตล์เดิมเหมือนตอนต้นและกลางไม่มีผิดเพี้ยน คือยืนพื้นด้วยดอกบัวสะอาดๆ ชาและไม่ไผ่เขียวๆ เพียงแค่กลิ่นอ่อนมากๆ ติดผิวแบบต้องดมระยะประชิดถึงพอจะได้กลิ่น ส่วนความทนอยู่ในระดับกลาง ซึ่งติดทนกว่า au the blanc แม้ว่า Crystalline จะใสและบางกว่าก็ตาม
.
Omnia Crystalline เป็นน้ำหอมที่ใช้ง่ายมาก ใส่ในทุกวัน ทุกเวลา ทุกโอกาส เนื่องจากกลิ่นสะอาดและปลอดภัย ใครๆก็ใส่กลิ่นนี้ได้แม้กระทั่งผู้ชายก็สามารถใช้ได้ด้วยเช่นกัน ไม่ออกหวานหรือสาวเกิน ใครชอบน้ำหอมสะอาดเบาๆ แต่มีออร่า แนะนำให้ลองดู ใส่วันอากาศร้อนๆยิ่งเหมาะ
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Omnia-Crystalline-152.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – Omnia AMETHYSTE

BVLGARI – Omnia AMETHYSTE
Perfumer : Alberto Morillas
Released Year : 2006
.
Flanker น้ำหอมไลน์ Omnia ทุกรุ่นจะมีคอนเซปคือการนำอัญมณีต่างๆมาเป็นแรงบันดาลใจในการปรุงน้ำหอม สำหรับ flanker รุ่นที่สองอย่าง Omnia Amethyste ได้แรงบันดาลใจมาจากอเมธีสต์ อัญมณีสีม่วงล้ำค่า สัมพันธ์ไปกับกลิ่นของน้ำหอมที่ผสมผสานไปด้วยโน้ตจากดอกไม้สีม่วง อันให้กลิ่นโทนแป้ง Powdery
.
Omnia Amethyste เป็นน้ำหอมแนว Floral – Powdery หรูหราด้วยกลิ่นโทนแป้งสะอาดที่หวานและนุ่มนวลซึ่งได้จากโน้ตดอกไม้โทนสีม่วงที่ให้กลิ่นแป้งเฉกเช่นไอริสและเฮลิโอโทรปเป็นหลัก บางมุมให้กลิ่นคล้ายกลิ่นแป้งเด็กที่อ่อนโยน บางมุมคล้ายกลิ่นสบู่หรูหราราคาแพง ซึ่งดูสะอาดสะอ้านและสดชื่นดีทีเดียว
.
กลิ่นนี้ดูเรียบร้อย บอบบาง น่าทนุถนอม อารมณ์จะคล้ายๆกับ BVLGARI pour Femme แต่อ่อนเยาว์กว่ามาก เหมาะกับหญิงสาวบุคลิกอ่อนโยน หวาน เรียบร้อย แต่แอบซ่อนเร้นความเซ็กซี่เอาไว้ข้างในลึกๆ โดยคุณจะสัมผัสความเซ็กซี่เหล่านี้ได้จากกลิ่นที่ดูสะอาดแบบหม่นๆ ลึกลับนิดๆ ชวนค้นหา น้ำหอมกลิ่นนี้สอนให้รู้ว่า แม้ภายนอกจะดูเรียบร้อย อ่อนโยนซักเพียงใด แต่เป็นผู้หญิง ยังไงก็ไม่ทิ้งความเซ็กซี่เย้ายวนแน่นอน
.
Top Notes เปิดด้วยโทน Powdery นุ่มนวล สะอาด และบางเบา นำโดยผลเกรฟฟรุ๊ตที่มอบความสดชื่นใสๆ เจือด้วยความเขียวจาก Green Sap บางๆ (Green Sap คือโน้ตที่ได้จากน้ำในใบเลี้ยงของต้นไม้ ให้กลิ่นเขียวๆใสๆ สดชื่น) ซึ่งทั้งคู่นั้นถูกปกคลุมด้วยโทน Floral หวานๆ หม่นนิดๆจากไอริส พาเอากลิ่นนวลเนียนโชยมาเตะจมูก
.
ช่วงกลางยังคงเด่นด้วยโทน Floral Powdery จากไอริส โดยมีกุหลาบ Bulgarian Rose กับ Heliotrope เข้ามาเพิ่ม ออกทางเซ็กซี่ เย้ายวน ลึกลับนิดๆ แต่ห้อมล้อมไปด้วยความอ่อนหวานแบบกุลสตรี
.
ในช่วงเบส ดอกไม้ถูกรายล้อมไปด้วยโทน Woody จาก Solar Woods ที่หวานนุ่ม ละมุนอ่อนๆ ส่งกลิ่นหวานจางๆติดผิวในห้วงสุดท้าย ซึ่งการกระจายในช่วงนี้แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด โดยช่วงแรกๆกลิ่นจะกระจายดีหน่อย แต่ระยะหลังๆจะเริ่มติดผิว ความทนอยู่ในเกณฑ์ปานกลางสำหรับน้ำหอมเบส Eau de Toilette
.
Omnia Amethyste เหมาะสำหรับใส่ในยามกลางวัน เพราะกลิ่นนั้นสดชื่นและสะอาดแบบมีชั้นเชิง สดใส นุ่มๆ ไม่หนักจมูก เบาสบายมากๆ สาวๆที่มีบุคลิกอ่อนโยน เรียบร้อย ใส่กลิ่นนี้เหมาะกับบุคลิกมากๆ
.
ปล. มีใครเคยลองกลิ่น Lilas Mauve ของ Yves Rocher บ้างมั้ยนะ เบิร์ดว่าเจ้าสองตัวนี้กลิ่นคล้ายกันมากเลย ต่างที่ Omnia จะออกหรูหรา นุ่มๆ ฟุ้งๆ เด่นที่เฮลิโอโทรปกับไอริสเป็นหลัก ส่วน Lilas Mauve จะสดชื่น บางเบา แลดูเป็นธรรมชาติ โดยโฟกัสที่กลิ่นไลแลคเพียวๆ จริงๆดอกไม้สีม่วงทั้ง 3 นั้นให้กลิ่นโทน powdery เหมือนๆกันนะจ๊ะ ถ้าใครชอบ Lilas Mauve ก็คงจะชอบ Omnia Amethyste ด้วย
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Omnia-Amethyste-780.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – Omnia CRYSTALLINE L’EAU DE PARFUM

BVLGARI – Omnia CRYSTALLINE L’EAU DE PARFUM
Perfumer : Alberto Morillas
Released Year : 2013
.
Flanker น้ำหอมไลน์ Omnia ทุกรุ่นจะมีคอนเซปคือการนำอัญมณีต่างๆมาเป็นแรงบันดาลใจในการปรุงน้ำหอม สำหรับ Omnia Crystalline EDT ได้แรงบันดาลใจมาจากคริสตัล อัญมณีสีขาวใสสุกสว่าง สัมพันธ์ไปกับกลิ่นของน้ำหอมที่สดชื่น ขาวสะอาด ใสราวกับคริสตัลไม่มีผิด
.
สำหรับ Crystalline L’EDP เป็น flanker ย่อยที่แตกออกมาจาก Omnia Crystalline อีกทอดหนึ่ง โดยถูกปรับเนื้อกลิ่นให้มีความหนักแน่นขึ้น รุ่น EDT นั้นสดชื่น ขาวใส สุกสว่างเจิดจ้าเป็นประกาย ชวนนึกถึงคริสตัลเหมือนอย่างที่ปรากฎในชื่อ ส่วนรุ่นนี้กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงครัสตัลตามธีมที่วางไว้เท่าตัวแรก โดยกลิ่นจะดูทุ้มขึ้นอีกระดับ ออกทางหวานแน่นโทน Woody กึ่ง Powdery ให้ฟีลเซ็กซี่เย้ายวน แต่หลักๆทั้ง 2 ตัวยังคงยืนพื้นด้วยกลิ่นดอกบัวสะอาดๆเหมือนกัน
.
สำหรับรุ่นนี้ไม่มีกลิ่นชาสไตล์ BVLGARI โน้ตต่างๆที่ให้ความสดชื่นใน Crystalline ตัวเก่าได้ถูกตัดออกไปหมดทุกอ ย่าง (รวมถึงไม้ไผ่และแพร์ด้วย) ในทางกลับกัน กลับถูกแทนที่ด้วยกลิ่นโทน Balsamic แน่นๆอบอวลจากกำยาน ซึ่งดูลึกลับนิดๆ โดยรวมกลิ่นก็ยังมีความคล้ายคลึงกับ Omnia Crystalline ตัว EDT อยู่บ้าง เพียงแต่เนื้อกลิ่นหนักขึ้น ไม่ได้ใสหรือมีออร่าระยิบระยับ
.
Crystalline L’EDP เปิดตัวด้วยกลิ่นดอกบัวที่เนียนนุ่ม ละมุนละไม ชวนนึกถึงดอกบัวสีขาวอมชมพูอ่อนๆที่มีกลีบเรียวบางและแห้งแมตประหนึ่งผ้ากำมะหยี่ รองด้วยโทน Woody แน่นๆ อบอุ่นกันตั้งแต่หัววัน อาจจะดูหนักจมูกหน่อยๆแต่ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าทำให้เวียนหัว กลิ่นเซ็กซี่ขึ้นจากตัวเดิม เหมาะสำหรับใส่ในช่วงยามเย็นเป็นที่สุด
.
ช่วงกลางยังคงนุ่มนวล หวานฟุ้งแบบมีชั้นเชิง โทน Woody กระจายออกมาชัดขึ้น พ่วงเข้ามาด้วย powdery จาก Heliotrope ดอกไม้สีม่วงในกลุ่มเดียวกับไวโอเล็ตและไอริสซึ่งให้กลิ่นโทนแป้ง ล่องลอยไปพร้อมกับดอกบัวสะอาดๆ
.
ในห้วงสุดท้ายเริ่มเข้าทางอบอุ่นเชิง Balsamic จาก Benzoin หรือกำยาน ปนไปกับโทน Woody แป้งๆ ตัวนี้เบสน้ำหอม Eau de Parfum แม้ว่ากลิ่นจะแน่นขึ้นกว่าตัว EDT แต่ความทนและการกระจายไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย บนผิวเรา ทั้งคู่ติดทนและกระจายเท่าๆกัน ใครที่หวังจะได้พบ Omnia Crystalline ในเวอร์ชั่นที่ติดทนมากขึ้นอาจจะต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะรุ่นนี้เหมือนเป็นน้ำหอมอีกด้านที่แสดงให้เห็นถึงความเซ็กซี่ นุ่มละมุน มากกว่าจะเป็นกลิ่นเข้มข้น (คาดว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงใช้ชื่อว่า L’eau de Parfum แทนที่จะเป็นคำว่า Intense)
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Omnia-Crystalline-Eau-de-Parfum-18894.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – Omnia INDIAN GARNET

BVLGARI – Omnia INDIAN GARNET
Perfumer : Alberto Morillas
Released Year : 2014
.
น้ำหอมตระกูล Omnia มีธีมหลักคือการนำเอาอัญมณีสีสันต่างๆมาเป็นแรงบันดาลใจใน การปรุงน้ำหอม และแทนด้วยสีสันต่างๆ สำหรับ Omnia Indian Garnet นั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก พลอยโกเมนจากประเทศอินเดีย แทนด้วยสีส้มสุกสว่าง สอดคล้องกับกลิ่นของน้ำหอมเองที่ยืนพื้นด้วยกลิ่นส้มเป็นหลัก
.
Omnia รุ่นนี้ปรุงขึ้นมาจากโน้ตเพียงไม่กี่อย่าง โดยตัวเด่นๆจะมีส้ม ดอกหอมหมื่นลี้ และไม้หอมอินเดีย เป็นกลิ่นที่เรียบง่ายและใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะน้ำหอมกลิ่นนี้จะจัดอยู่ในกลุ่ม Oriental – Floral แต่โทนสดชื่นจากส้มนั้นแรงพอตัว ทำให้ใช้ได้ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวในไทยได้อย่างไม่มีปัญหา
.
สิ่งแรกที่ได้สัมผัสคือกลิ่นหอมสดชื่นของส้มแมนดารินที่เปรี้ยวสดชื่น หากแต่ไม่แหลมคมบาดจมูกเหมือนกลิ่นมะกรูดมะนาว กลับมีความนวลเนียนคล้ายส้มผลโตที่สุกฉ่ำเต็มที่ รองด้วยหญ้าฝรั่นเพื่อเพิ่มความรู้สึกเข้าถึงความเป็นอินเดียขึ้นมานิดหน่อย
.
รอซักพักในช่วงกลางเมื่อกลิ่นเซตตัวจะได้กลิ่นโทน Floral จากหอมหมื่นลี้และซ่อนกลิ่นนวลๆโชยเข้ามาเตะจมูก แซมไปกับกลิ่นส้มที่สดใส มอบความรู้สึกสดชื่นแบบเฟมินีน แต่ซ่อนเร้นไปด้วยความเซ็กซี่หรูหราไว้ข้างใน
.
ความเย้ายวนมีเสน่ห์ถูกปลุกขึ้นมาในช่วงเบส ให้กลิ่นในโทน Woody ไปกับ Indian Wood หรือไม้หอมจากประเทศอินเดีย แซมด้วยโทน Ambery จากอำพันที่ช่วยปรับโทนน้ำหอมเข้าทาง Oriental ขึ้นมานิดหน่อย (ตรงจุดนี้เข้าใจว่าน่าจะโยงให้เข้ากับธีมแบบแขกๆ) แต่ไม่ใช่ว่าหนักแน่นจนใช้ยากในอากาศร้อน เพราะ Omnia รุ่นนี้จัดว่ากลิ่นบางเบาในระดับที่พอดีมากๆ ไม่ฉุนเลย การกระจายในระดับติดผิวเลยก็ว่าได้ ความทนอยู่ในระดับปานกลาง แต่ก็เป็นที่น่าพอใจสำหรับเบส Eau de Toilette
.
หากใครที่กำลังมองหาน้ำหอมกลิ่น Citrus สดชื่นแบบเฟมินีนแต่ไม่เปรี้ยว แหลมเหมือนมะกรูดมะนาว Omnia ส้มก็น่าลองไม่น้อย ทั้งยังมีกลิ่น Floral ประคับประคองไม่ให้กลิ่นดู Unisex จนเกินไป กลิ่นนี้จึงเหมาะกับผู้หญิงที่ชอบกลิ่นสดชื่นเบาบาง ไม่เน้นกลิ่นฟุ้งหวือหวา เน้นเรียบง่าย แต่ใช้ได้เรื่อยๆในชีวิตประจำวัน
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Omnia-Indian-Garnet-23709.html

รีวิวน้ำหอม BVLGARI – BVLGARI POUR HOMME EXTREME






[::REVIEW::] by หวานละมุน Perfume Review
BVLGARI – BVLGARI POUR HOMME EXTREME
Perfumer: Jacques Cavallier-Belletrud
Released Year : 1999
.
BVLGARI EXTREME ต่อยอดมาจาก BVLGARI POUR HOMME ปี 1995 สำหรับรุ่นนี้จะถูกปรับโทนกลิ่นให้มีความอ่อนเยาว์และทันสมัยมากขึ้น โดยลดทอนความรู้สึกเชิงทางการจากรุ่นเดิมลง แต่หลักๆก็ยังคงยืนพื้นด้วยกลิ่นใบชาหรูๆสไตล์ผู้ดี และมะกรูดที่มอบความรู้สึกสดชื่น ทว่ารุ่น EXTREME นี้จะมีเกรฟฟรุ๊ตเพิ่มเข้ามาเป็นโน้ตตัวเด่นอีกตัวหนึ่ง ในขณะที่โน้ต Aldehyde จากรุ่นก่อนได้ถูกตัดออกไปในรุ่นนี้ เพราะฉะนั้นกลิ่นนี้ใช้ง่ายขึ้นแน่นอน ใส่ได้ในโอกาสทั่วๆไปโดยไม่จำเป็นต้องเป็นงานทางการเสมอไป
.
หาก BVLGARI POUR HOMME รุ่นดั้งเดิมให้ลุคภูมิฐานมาดนักธุรกิจระดับสูงแก่ผู้สวมใส่, BVLGARI EXTREME ก็คงจะมาในลุคเท่ๆของหนุ่มออฟฟิศวัย 20 ต้นๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา บุคลิกดี มีคลาส และมีเสน่ห์ ฯลฯ ต้องบอกเลยว่ากลิ่นหล่อและดูหนุ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แถมยังทันสมัย เข้ากับยุคใหม่มากขึ้นอีกด้วย แม้ว่ากลิ่นจะเข้มขึ้นตามชื่อ Extreme ก็ตาม
.
สำหรับช่วง Top Notes พบกับความสดชื่นแบบใสสว่าง ปนหรูหราสไตล์ผู้ดีไปกับใบชา Darjeeling Tea สะอาดๆ ผสมเกรฟฟรุ๊ตและผิวมะกรูด ออกเขียว+แห้งนิดๆจากหญ้าแฝก ให้ความรู้สึกถึงใบชาแห้งๆเหมือนรุ่นต้นตำหรับไม่มีผิด แต่รุ่น Extreme นี้จะแห้งน้อยกว่าเนื่องจากมีเกรฟฟรุ๊ตเข้ามาผสมค่อนข้างชัด กลิ่นแรงแต่ไม่ฉุนนะ ออกกลิ่นชาสบายๆ ปลอดโปร่งโล่งจมูกสุดๆ
.
ช่วงกลางแทรกเข้ามาด้วยโทน Spicy จากเครื่องเทศนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น กระวาน ลูกจันทน์เทศ ผักชี และพริกไทย โดยแต่ละอย่างนั้นมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย หล่อหลอมรวมกันเป็นกลิ่น Spicy เบาๆรวมไปใบชาและเกรฟฟรุ๊ตแบบเนียนๆ ในช่วงนี้ส่งกลิ่นกระจายออกมาเรื่อยๆ พอเตะจมูกเป็นระยะๆ
.
ช่วงท้ายๆออกโทน Woody มากขึ้น โดยส่วนผสมคือแซนดรัลวู้ด มัสก์ และซีดาร์ ในขณะที่ใบชาและเกรฟฟรุ๊ตตัวเด่นยังคงส่งกลิ่นทอดยาวมาจนถึงช่วงนี้อย่างชัดเจน
.
มาในเบสความเข้มข้น Eau de Toilette แต่ติดทนมาก ทนระดับ Extreme สมชื่อจริงๆ และการกระจายตัวก็พัฒนาขึ้นจากรุ่นเดิมเยอะ เพราะกลิ่นยังคงกระจายได้ดีแม้จะดำเนินกลิ่นมาถึงห้วงสุดท้ายแล้วก็ตาม และจะยิ่งติดทนกว่านั้นอีกถ้าหากสเปรย์ลงบนเสื้อ (ถ้ายังไม่ซักอะนะ) แนะนำสำหรับเหล่าหนุ่มออฟฟิศและ นักศึกษา วันไหนแต่งตัวดูดี สะอาดสะอ้าน หยิบ BVLGARI EXTREME มาใช้ได้เลย ใส่เรียนได้ ทำงานได้ เที่ยวได้ เล่นกีฬาได้ คือสรุปง่ายๆเลยว่ากลิ่นนี้ใช้ได้ทุกโอกาสจริงๆ
.
.
.
http://www.fragrantica.com/perfume/Bvlgari/Bvlgari-Extreme-157.html

B&C Perfumes Academy